เมนูนี้ประกอบไปด้วยประโยชน์มากมายจากข้าวกล้องและอะโวคาโดที่อุดมด้วยสารอาหารที่มีคุณค่า ด้วยเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุนและรสชาติที่กลมกล่อม ถือเป็นมื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับหนูๆ!

สิ่งที่คุณต้องการ

วิธีการ

Avocado Rice ดีอย่างไร?

ข้าวกล้องมีแร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระและเส้นใยอาหารสูง เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับการเริ่มต้นของลูกน้อย ข้าวกล้องบดผสมกล้วยน้ำว้ายังให้คุณค่าทางโภชนาการที่ดี อะโวคาโดก็เป็นแหล่งที่มาของไขมันจากธรรมชาติซึ่งช่วยในการดูดซึมวิตามินในร่างกายลูกน้อย และยังมีวิตามิน, โพแทสเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็น ถือเป็นอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายสำหรับลูกน้อยของคุณ!

เพียงแค่เปลี่ยนมารับประทานอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักเท่านั้นเอง!

เราต่างรู้กันดีว่าการรับประทานพืชผักผลไม้นั้นส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายแน่นอนเพราะอาหารเหล่านี้เปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในการเจริญเติบโต ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและให้พลังงานอีกด้วย ข้อควรจำในการเลือกพืชผักมารับประทานนั้น คุณควรเลือกพืชผักออร์แกนิคแทนพืชผักทั่วไปเพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพืชผักที่เรากำลังเลือกซื้อเนั้นใส่สารย้อมสี สารปรุงแต่ง ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม ผ่านการพ่นยาฆ่าแมลงหรือใส่สารกันบูดหรือไม่? เพราะสารอันตรายเหล่านี้อาจส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็กที่รับประทานอาหารที่มีสารเหล่านี้เข้าไปเป็นประจำได้ ดังนั้นคุณควรมองหาแต่ อาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลัก และมองหาตราสัญลักษณ์ที่ยืนยันว่าผลิตภัณฑ์นี้ทำมาจากพืชผักออร์แกนิคทั้งหมดบนฉลากเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว

ทำความรู้จักกับอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลัก

ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบจากพืชทั้งหมดนั้นเมื่อรับประทานเป็นประจำร่างกายของคุณจะดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ไว้ในร่างกายและช่วยชะล้างพิษ ขับของเสียภายในร่างกายออกมา คุณจึงมั่นใจได้ว่าลูกน้อยของคุณจะได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดและมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์อย่างยั่งยืนอย่างแน่นอน

อุปนิสัยในการรับประทานสร้างได้ตั้งแต่วัยเยาว์:

หากคุณกำลังคิดว่าอาหารเหล่านี้อาจมีรสชาติไม่ถูกปากลูกน้อยของคุณลองอ่าน ปรุงรสชาติอาหารเพื่อสุขภาพให้อร่อยยิ่งขึ้น

ข้อมูลอ้างอิง:

  1. เคลลี่ ดอล์ฟแมน (วท.ม.) ผู้แต่งหนังสือ รักษาลูกน้อยด้วยอาหาร
  2. นพ. จอห์น แมคดูกัล ั

เมื่อลูกน้อยของคุณเพิ่งเริ่มรับประทานอาหารเสริมและด้วยความหลากหลายที่มีอยู่ คุณควรเลือกอะไร?

ผักและผลไม้หลากสีที่มีอยู่ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกน้อยของคุณยิ้มได้ แต่ยังให้สารอาหารที่จำเป็นต่างๆเพื่อให้ลูกน้อยของคุณมีสุขภาพดี นี่คือกลุ่มอาหารที่ลูกน้อยของคุณจะต้องหลงรัก:

ลูกแพร์: แหล่งรวมสารอาหาร

เด็กๆมีแนวโน้มที่จะทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าอย่างอื่น แต่ลูกแพร์ชนะทุกครั้ง! ลูกแพร์เต็มไปด้วยน้ำและใยอาหารทำให้ลูกน้อยรู้สึกพอใจและอิ่ม มีวิตามินซีสูง เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหาร ลูกแพร์ที่สุกมากๆ ลูกน้อยของคุณสามารถกัดพวกมันได้อย่างง่ายดาย เป็นอาหารที่เยี่ยมยอดสำหรับลูกน้อย

กล้วย : คู่หูของลูกน้อย

ด้วยความหวาน นุ่มและสีสันที่ดูราวกับแสงแดดอ่อนๆทำให้ลูกน้อยรู้สึกมีความสุข กล้วยเต็มไปด้วยวิตามิน A, B และ C และยังมีแร่ธาตุที่จำเป็นเช่นโพแทสเซียมและแมกนีเซียม มีใยอาหารสูงทำให้ลูกน้อยของคุณมีระบบการย่อยอาหารที่แข็งแรง จะบดผสมหรือหั่นบางๆ ลูกน้อยจะหลงรัก!

ฟักทอง : ความสมบูรณ์แบบ

ฟักทองเป็นสุดยอดแห่งโภชนาการ อุดมไปด้วยสารอาหาร แต่มีแคลอรีต่ำ ฟักทองอุดมด้วยวิตามินเอและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และยังช่วยปกป้องสุขภาพดวงตา หั่นเป็นชิ้นเล็กๆและนึ่งด้วยไฟอ่อนๆ เพื่อให้ได้รสชาติและโภชนาการที่มีคุณค่า คุณยังสามารถผสมกับซุปให้ลูกน้อยของคุณได้อีกด้วย!

แครอท : บำรุงร่างกาย

แครอทเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนซึ่งมาจากสีส้มของแครอท เบต้าแคโรทีนจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายและช่วยบำรุงสายตา แครอทยังอุดมไปด้วยไบโอติน (วิตามิน B) และวิตามินK ในความเป็นจริงแครอทเหมาะสำหรับลูกน้อยของคุณและเป็นอาหารเสริมที่ช่วยสร้างสีสันให้กับลูกน้อยของคุณ

พ่อแม่ของทารกแรกเกิดมักจะทำทุกอย่างในการควบคุมของพวกเขาเพื่อให้ลูกน้อยของพวกเขามีสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดในการเติบโต พวกเราต้องการให้ ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรง และมีจิตใจที่แข็งแรง รวมถึง ต้องการให้ลูกน้อยสามารถเรียนรู้ และเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว ที่สุด

คุณพ่อ คุณแม่สามารถคำนึงถึงวิธีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ลูกน้อยหัดเดินได้ พวกเขาต้องการให้ทารกเดิน พูด และเคลื่อนไหวร่างกายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และในการทำเช่นนั้น กิจกรรมทางกายมีบทบาทสำคัญมากไม่เพียงแต่ในการพัฒนาทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยในด้านพัฒนาการทางจิตใจของทารกด้วย วิธีช่วยให้ลูกน้อยหัดเดินเป็นงานหนักสำหรับพ่อแม่ มีวิธีในการช่วยให้ทารกหัดเดินอยู่หลายวิธี อ่านต่อเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

วิธีช่วยให้ลูกน้อยหัดเดินเป็นงานหนักสำหรับพ่อแม่ มีวิธีในการช่วยให้ทารกหัดเดินอยู่หลายวิธี อ่านต่อเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ประโยชน์ของการออกกำลังกายสำหรับเด็ก

ทารกเกิดมาพร้อมกับกล้ามเนื้อ และกระดูกที่อ่อนแอ ในช่วงปีแรก ๆ เป็นสิ่งสำคัญมากที่คุณต้องช่วยส่งเสริมพัฒนาการของกล้ามเนื้อให้กับทารก กุมารแพทย์ระบุว่าผู้ปกครองจำเป็นต้องช่วยให้ทารกสร้างความยืดหยุ่น การประสานงาน และความแข็งแรงด้วยกิจวัตร และกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยของทารก สิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถเดินได้เร็วขึ้น และมีความมั่นใจมากขึ้น

การออกกำลังกายเป็นประจำอาจช่วยลูกของคุณได้มากกว่าการมีรูปร่างสมส่วน และต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้ เด็กที่มีทักษะการเคลื่อนไหวดีกว่ามักจะมีความกระตือรือร้นมากกว่า การออกกำลังกายทุกวันมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการที่ดีของทารก และเด็กเล็ก

กล้ามเนื้อ และกระดูกที่แข็งแรงเป็นตัวบ่งชี้สุขภาพโดยรวมของเด็กได้ หากทารกมีกล้ามเนื้อ และกระดูกที่แข็งแรง ทารกจะมีโอกาสเรียนรู้ที่จะคลาน เดิน และวิ่งได้เร็วขึ้น

คุณอาจรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเคล็ดลับในการช่วยลูกน้อย หรือเด็กวัยหัดเดินฝึกเดิน หรือวิธีสอนลูกน้อยให้เดิน ส่วนต่อไปของบทความนี้จะมีเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น

การออกกำลังกายสำหรับเด็กแรกเกิด และทารก (0-12 เดือน)

ควรกระตุ้นให้ทารกเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน และทุกวันในรูปแบบต่าง ๆ รวมไปถึงการฝึกคลานด้วย

หากพวกเขายังคลานไม่ได้ ให้กระตุ้นให้พวกเขาเคลื่อนไหวร่างกายโดยการเอื้อม และจับ ดึง ดันตัว และขยับศีรษะ ลำตัว และแขนขาในระหว่างกิจวัตรประจำวัน และระหว่างการเล่นบนพื้นแต่ต้องมีผู้ดูแล

พยายามฝึกให้นอนคว่ำอย่างน้อย 30 นาทีตลอดทั้งวันเมื่อพวกเขาตื่น เมื่อทารกสามารถเดินไปรอบ ๆ ได้ ให้กระตุ้นให้พวกเขาเคลื่อนไหวมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในสภาพแวดล้อมการเล่นที่ปลอดภัย และได้รับการดูแล

ฝึกเด็กวัยหัดเดินให้เริ่มเดิน (12–36 เดือน)

เด็กวัยหัดเดินควรเคลื่อนไหวร่างกายทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 180 นาที (สามชั่วโมง) ยิ่งเคลื่อนไหวร่างกายได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ควรให้เด็กเคลื่อนไหวร่างกายกระจายไปตลอดทั้งวัน รวมไปถึงการให้ออกไปเล่นนอกบ้าน

180 นาทีสามารถฝึกกิจกรรมเบา ๆ เช่น ยืนขึ้น เคลื่อนที่ไปรอบ ๆ กลิ้ง และเล่น รวมไปถึงกิจกรรมที่ใช้พลังมากขึ้น เช่น การกระโดดเร็ว ๆ กระโดดไม่สูง วิ่ง และกระโดดสูง

การเลนอย่างต่อเนื่อง เช่น การปีนป่ายขึ้นบนโครงสร้าง การเล่นในน้ำ เกมวิ่งไล่จับ และเกมบอล เป็นวิธีฝึกฝนการเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดของเด็กวัยนี้

การฝึกฝนเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับแกนกลางลำตัวของทารก

ฝึกให้เด็กนอนคว่ำ

อายุ:0 เดือนเป็นต้นไป

นี่เป็นการฝึกฝนที่กุมารแพทย์แนะนำมากที่สุดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของลำตัวให้กับทารก เพียงแค่ให้ทารกแรกเกิดนอนคว่ำหลังจากที่คุณป้อนนมทุกครั้ง ท่านี้ช่วยสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางส่วนท้องของทารกให้แข็งแรงได้ วิธีเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อแกนกลางมีหลายรูปแบบ เช่น:

เคล็ดลับ:อย่าลืมว่าท่านอนคว่ำจะช่วยเพิ่มการควบคุมศีรษะและความแข็งแรงของคอให้กับลูกน้อยของคุณได้

ดังนั้น ควรลดเวลาของการนอนท่าหงายให้น้อยที่สุดหลังจากที่ลูกน้อยของคุณอายุได้ 2-3 เดือน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกน้อยของคุณได้ทำกิจกรรมฝึกฝนร่างกายเพียงพอ

ช่วยให้ลูกน้อยนั่งตัวตรง

อายุ:4 เดือน (หรือเมื่อทารกสามารถตั้งลำคอให้ตรงได้แล้ว)

วางผ้าห่มไว้บนเตียงแล้ววางลูกน้อยไว้บนผ้าห่ม จากนั้นให้ถือผ้าห่มแต่ละข้างไว้เหนือศีรษะของลูกเล็กน้อย โดยให้ลูกน้อยอยู่ตรงกึ่งกลางแขนของคุณ ค่อย ๆ ยกผ้าห่มขึ้นเพื่อให้ลูกน้อยของคุณอยู่ในท่านั่ง จากนั้นลดระดับของผ้าห่มลงอีกครั้ง นี่เป็นการออกกำลังกายที่ง่าย และปลอดภัยเพื่อช่วยให้ลูกน้อยของคุณมีร่างกายส่วนบนที่แข็งแรง

ฝึกฝนลูกน้อยของคุณด้วยวิธีดังต่อไปนี้:

การออกกำลังกายด้วยวิธีอื่น

1. การเคลื่อนไหวในท่าถีบจักรยาน

อายุ:0 เดือนเป็นต้นไป

การพัฒนาขาของลูกน้อยก็เป็นปัญหาสำคัญเช่นกันเนื่องจากกล้ามเนื้อขาเป็นตัวกำหนดว่าลูกน้อยของคุณจะสามารถคลาน และเดินได้เร็วแค่ไหน กุมารแพทย์แนะนำการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับขาของทารกเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อขาของทารกดังต่อไปนี้:

วางทารกให้อยู่ในท่านอนหงาย แล้วจับที่ข้อเท้าเบา ๆ ค่อย ๆ ขยับขาของลูกน้อยให้เหมือนกำลังถีบจักรยาน คุณสามารถเคลื่อนไหวได้สี่ถึงห้าครั้งต่อเซ็ต จากนั้นให้ลูกน้อยของคุณพักสักสองสามนาทีแล้วฝึกเคลื่อนไหวต่อ

คุณรู้หรือไม่? ท่าถีบจักรยานเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการบรรเทาอาการท้องอืดของลูกน้อยได้! กุมารแพทย์กล่าวว่าเมื่อลูกน้อยของคุณกำลังฝึกฝนในท่าถีบจักรยาน การเคลื่อนไหวจะช่วยปล่อยฟองอากาศออกจากท้อง และเคลื่อนผ่านลำไส้ ด้วยวิธีนี้ ลูกน้อยของคุณสามารถปล่อยฟองอากาศเหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และไม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากลมในท้อง

ควรทำการฝึกท่านี้เมื่อไหร่? ตรวจดูว่าท้องของลูกน้อยรู้สึกแข็ง และป่องหรือไม่ ลูกน้อยอาจจะมีลมในท้อง และการออกกำลังกายนี้จะทำให้ลูกน้อยของคุณรู้สึกผ่อนคลายได้

หากลูกน้อยของคุณต่อต้าน และไม่ต้องการให้คุณขยับขา โปรดอย่าบังคับให้ลูกน้อยฝึกท่านี้

2. ทำเหมือนกำลังเต้นรำ!

อายุ:0 เดือนเป็นต้นไป

ทารกชอบที่จะขยับไปมา และชูนิ้วเท้าขึ้น ตามคำแนะนำของแพทย์ การเคลื่อนไหวของนิ้วเท้า และเท้าเป็นการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมสำหรับการพัฒนากล้ามเนื้อขาของทารก

เพียงอุ้มลูกน้อยของคุณเบา ๆ ใต้รักแร้ แล้วแตะเท้าของลูกน้อยลงบนพื้น เนื่องจากตอนนี้คุณกำลังรองรับน้ำหนักส่วนใหญ่ของลูกน้อยเอาไว้ ดังนั้น คุณควรปล่อยให้ลูกน้อยของคุณทรงตัวอยู่บนพื้นเบา ๆ คุณจะสังเกตได้ว่าลูกน้อยของคุณมักจะเตะซึ่งจดูเหมือนกับกำลังเต้น

หมายเหตุ: คุณควรแน่ใจว่าคุณรองรับน้ำหนักของลูกน้อยให้มากขึ้นเนื่องจากตอนนี้พวกเขาพบว่าการยืนขึ้นเป็นเรื่องยากมาก ไม่แนะนำให้ฝึกฝนท่านี้เป็นเวลานานเนื่องจากลูกน้อยของคุณจะรู้สึกเหนื่อย

3. ช่วยลูกน้อยของคุณหยิบ/ยกสิ่งของ

อายุ: 4–6 เดือน

แพทย์แนะนำว่าการหยิบจับสิ่งของเป็นวิธีที่ดีในการสร้างความสามารถในการหยิบจับ และการฝึกใช้มือ และตาของลูกน้อยร่วมกัน รวมไปถึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

ให้ลูกน้อยของคุณนั่งบนเก้าอี้สูง หรือเก้าอี้นั่งแบบเด้งดึ๋ง ตอนนี้วางของเล่น หรือของใช้ในบ้านไว้ข้างหน้าลูกน้อยของคุณ กระตุ้นให้พวกเขาหยิบของเล่น หรือของใช้ในบ้านขึ้นมาเพื่อสำรวจ วางลง แล้วยกขึ้น (หรือหยิบวัตถุอื่น) อีกครั้ง คุณอาจต้องแสดงวิธีทำให้ลูกน้อยของคุณดู 2-3 ครั้ง เด็กส่วนใหญ่เรียนรู้ได้เร็วมาก และสนุกกับการออกกำลังกายนี้มาก!

วิธีไล่ลมในท้องของทารก

หากลูกน้อยของคุณมีอาการเจ็บปวด นี่คือเคล็ดลับ 5 ข้อที่จะช่วยให้ทารกรู้สึกดีขึ้น:

ขยับขาของลูกน้อย

หากลูกน้อยของคุณนอนหงาย ให้ค่อย ๆ ขยับขาไปมาเพื่อเลียนแบบท่าถีบจักรยาน การออกกำลังกายนี้ช่วยในการเคลื่อนไหวของลำไส้ และสามารถขับลมในท้องออกมาได้ คุณยังสามารถงอขาของลูกน้อย แล้วค่อย ๆ ดันเข่าขึ้นไปที่ท้อง หากลูกน้อยนอนคว่ำ คุณสามารถช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลายในท่าของเด็กได้ (เช่นเดียวกับการเล่นโยคะ) และการเคลื่อนไหวนั้นก็จะสามารถไล่ลมในท้องได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ลูบที่บริเวณหน้าท้องเบา ๆ

การนวดทารกเป็นวิธีที่พยาบาลใช้เพื่อช่วยไล่ลมออกจากท้องของทารกเพื่อลดความอึดอัดในท้อง วางลูกน้อยของคุณให้อยู่ในท่านอนหงาย จากนั้นเริ่มลูบท้องของลูกน้อยให้เป็นวงกลม การลูบท้องเป็นวงกลมช่วยทำให้กระตุ้นช่องท้องที่สามารถช่วยให้ลูกน้อยสามารถไล่ลมออกจากช่องท้องได้

การเรอของทารก

แน่นอนว่าวิธีในการไล่ลมที่ดีที่สุด คือ การเรอ บางครั้ง การเรอก็สามารถช่วยได้ ลูกน้อยของคุณอาจไม่เรอออกมาได้ทันที และในการช่วยทำให้ลูกน้อยเรอ ให้คุณวางลูกน้อยนอนลงสักสองสามนาที จากนั้นค่อย ๆ อุ้มขึ้นมาแล้วลองใหม่อีกครั้ง ให้เวลาลูกน้อยเรอสักพัก

การนวดทารก

การนวดลูกน้อยของคุณเป็นวิธีการเลี้ยงดู และใช้เวลากับลูกน้อยของคุณอย่างอ่อนโยน

การนวดเป็นเคล็ดลับที่เก่าแก่วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผล ปัจจุบันประโยชน์ของการนวดน้ำมันได้รับการยอมรับอย่างดีจากแพทย์ และแน่นอนว่าสามารถช่วยให้กล้ามเนื้อ และกระดูกของลูกน้อยแข็งแรงขึ้นได้

คุณสามารถเริ่มนวดร่างกายลูกน้อยได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเริ่มได้ตั้งแต่อายุหนึ่งสัปดาห์ หรือสองสัปดาห์ มีการเคลื่อนไหว/การฝึกฝนบางวิธีที่คุณควรทำซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของการนวดทารกเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับทารก คือ:

หมายเหตุ:คุณต้องแน่ใจว่า คุณไม่ได้ใช้แรงกดลงอย่างแรง การนวดเบา ๆ โดยใช้เบบี้ออยล์ที่เป็นมิตรกับผิวเท่านั้นซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการไหลเวียนโลหิตของลูกน้อยของคุณที่ดีขึ้น และส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

ประโยชน์ของการนวดทารก

การวิจัยชี้ให้เห็นว่าการนวดทารกมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น การนวดทารกอาจช่วย:

การศึกษาบางชิ้นยังแนะนำว่าการนวดทารกด้วยการใช้แรงกดปานกลางอาจช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของทารกที่คลอดก่อนกำหนดได้

ฉันจะนวดลูกน้อยของฉันได้อย่างไร

จะต้องมีการเตรียมตัวสักเล็กน้อย และใช้เทคนิคเบื้องต้นบางอย่าง เรามาเริ่มกันเลย:

คุณควรใช้น้ำมันนวดหรือไม่?

ผู้ปกครองบางคนชอบใช้น้ำมันระหว่างการนวดลูกน้อยเพื่อป้องกันการเสียดสีระหว่างมือกับผิวหนังของลูกน้อย

หากคุณเลือกใช้น้ำมัน ให้เลือกแบบที่ไม่มีกลิ่น และรับประทานได้ เผื่อว่าลูกน้อยของคุณอาจเอาน้ำมันเข้าปาก

หากลูกน้อยของคุณมีผิวที่บอบบางหรือแพ้ง่าย ให้ทดสอบน้ำมันก่อนโดยทาปริมาณเล็กน้อยบนผิวหนังของลูกน้อย แล้วดูปฏิกิริยา

อาจต้องใช้เวลาสักพักก่อนที่คุณ และลูกน้อยของคุณจะรู้สึกคุ้นเคยกับการนวด ให้มีความอดทน การฝึกนวดทารก เป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพเพื่อการผ่อนคลาย และสร้างความผูกพันระหว่างคุณ และลูกน้อยของคุณ

สรุป

สรุปว่า นี่คือวิธีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ลูกน้อยหัดเดิน รวมทั้งยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย และจิตใจของลูกน้อยได้อีกด้วย

แล้วตอนนี้คุณก็ได้ทราบวิธีช่วยให้ลูกน้อยหัดเดิน และวิธีทำให้ลูกน้อยเดินได้แล้ว คุณยังสามารถรวมการฝึกฝนต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงแกนกลางลำตัว การเคลื่อนไหวด้วยท่าถีบจักรยาน และการฝึกฝนที่ต้องทำเมื่อลูกน้อยมีปัญหาเรื่องลมในท้องแล้ว

นอกเหนือไปจากการออกกำลังกายด้วยวิธีเหล่านี้แล้ว คุณควรทำการนวดลูกน้อยของคุณทุกวัน

การเรอเป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดในป้อนนมให้กับทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กแรกเกิด และทารก ทารกไม่สามารถเรอได้เอง ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรเรียนรู้วิธีการทำให้ทารกแรกเกิดเรอ

มีเทคนิคบางอย่างที่คุณสามารถใช้สำหรับการเรอของทารกแรกเกิด บทความนี้จะแนะนำวิธีการทำให้ทารกแรกเกิดเรอ เทคนิคการเรอของทารกแรกเกิด และท่าเรอของทารกแรกเกิด มีเทคนิคการเรอที่แตกต่างกันมากมายสำหรับทารกแรกเกิด เทคนิคการเรอที่ดีที่สุดสำหรับทารกแรกเกิดเกี่ยวข้องกับเวลาหลังมื้ออาหาร สิ่งนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าแก๊สที่เกิดขึ้นหลังจากการรับประทานอาหารจะถูกปล่อยออกมาในลักษณะที่มีความปลอดภัย

เทคนิคการเรอที่ดีสำหรับทารกแรกเกิดนั้นเกี่ยวกับการรู้เวลาที่เหมาะสมในการเรอด้วย อ่านต่อเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

รูปแบบทั่วไปของความรู้สึกไม่สบายที่ทารกต้องเผชิญ

สาเหตุของการเกิดแก๊สในทารก

เมื่อทารกแรกเกิด หรือทารกพัฒนาระบบย่อยอาหาร และจุลินทรีย์ในลำไส้ การก่อตัวของก๊าซจึงเกิดขึ้นตามการตอบสนองปกติ

ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่การเกิดก๊าซในทารก และทารกแรกเกิด ได้แก่:

การเรอ

การเรอ คือ การปล่อยก๊าซออกจากทางเดินอาหารส่วนบน (หลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร) ทารก (ส่วนใหญ่เป็นเด็กแรกเกิด และทารก) มักจะกลืนอากาศเข้าไปเมื่อคุณแม่ให้นม หรือเมื่อทารกร้องไห้

สิ่งนี้ก่อให้เกิดฟองอากาศในท้องซึ่งอาจกลายเป็นก๊าซที่ติดอยู่ซึ่งทำให้รู้สึกไม่สบาย และเจ็บปวด การเรอช่วยบรรเทาแก๊สที่ติดอยู่นี้ และทำให้ทารกแรกเกิด หรือทารกรู้สึกสบายตัว

นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการสำรอก และหยุดการสะอึกของทารกได้อีกด้วย ช่วยป้องกันการสะสมของอากาศในร่างกายของทารก

จะทราบได้อย่างไรว่าลูกจะเรอเมื่อไหร่

โดยทั่วไปแล้วทารกจะแสดงอาการที่ชัดเจนว่ามีแก๊สติดอยู่ซึ่งสามารถส่งสัญญาณให้ทารกเรอได้

ได้ ซึ่งรวมไปถึง:

คุณควรทำให้ทารกเรอกี่ครั้ง

ไม่มีกฎตายตัวเกี่ยวกับการเรอของทารก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเรอช่วยบรรเทาความรู้สึกไม่สบาย และความเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับแก๊สที่ติดอยู่ในท้องของทารกได้ การทำให้ลูกเรอจึงมีประโยชน์มาก

การเรอมักจะทำหลังจากที่ทารกรับประทานอาหารเสร็จ หรือระหว่างมื้ออาหาร หากลูกน้อยของคุณดูเหมือนกำลังปฏิเสธระหว่างการให้นม ให้หยุดกินนม แล้วทำให้ลูกของคุณเรอ จากนั้นค่อยเริ่มให้นมใหม่

ลองให้ลูกเรอหลังจากกินนมทุก ๆ 2-3 ออนซ์ หากลูกกินนมจากขวด หรือทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนเต้าขณะให้นมลูก การเรอนี้ได้รับการแนะนำจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา

นอกจากนี้ ให้ลองทำให้ลูกน้อยเรอหลังการให้นมในทุก ๆ ออนซ์ระหว่างการดูดนมขวด หรือทุก ๆ ห้านาทีระหว่างการดูดนม หากลูกน้อยของคุณ:

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่ทำให้ทารกแรกเกิด หรือทารกเรอ

หากทารกดูเหมือนไม่ปฏิเสธเกินไประหว่างให้นม และหากทารกไม่แสดงอาการไม่สบาย เช่น มีแก๊ส คุณอาจไม่จำเป็นต้องทำให้ทารกเรอ

อย่างไรก็ตาม หากทารกแสดงอาการไม่สบายในระหว่างการให้นม และไม่สามารถปล่อยแก๊สได้ คุณแม่ควรจะทำให้ทารกเรอจะดีกว่า การไม่เรอบ่อย ๆ และการกลืนอากาศมากเกินไปอาจทำให้ทารกสำรอก หรือดูเหมือนหงุดหงิด หรือมีแก๊สได้

จะทำอย่างไรหากลูกน้อยของคุณไม่สามารถเรอได้แม้คุณพยายามแล้วก็ตาม

หากลูกน้อยของคุณไม่เรอหลังจากผ่านไปสองสามนาที ให้เปลี่ยนท่าของทารกแล้วลองเรอต่ออีกสองสามนาทีก่อนที่จะให้นมอีกครั้ง คุณอาจนวดท้อง และขยับขาเพื่อช่วยให้แก๊สที่ติดอยู่เคลื่อนออกไป

เทคนิคช่วยทำให้ทารกแรกเกิด หรือทารกเรอ

การทราบวิธีที่ทำให้ลูกน้อยเรอเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่มือใหม่สามารถเรียนรู้ได้

เมื่อทารกแรกเกิด หรือทารกเรอ ให้ลูบที่หลังของทารกเบา ๆ ซ้ำ ๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการเรอ

งอฝ่ามือของคุณของคุณเข้าในขณะที่ตบเบา ๆ เนื่องจากการงอมือจะอ่อนโยนกว่าฝ่ามือในลักษณะแบมือ วางผ้าเช็ดปาก หรือผ้ากันเปื้อนไว้ใต้คางของทารก หรือไหล่ของคุณเพื่อป้องกันการทำความสะอาดที่อาจเกิดจากการเรอเปียก

ลองใช้ท่าต่าง ๆ สำหรับการเรอที่สบายสำหรับคุณ และลูกน้อย เทคนิคที่ดีที่สุดในการทำให้ทารกแรกเกิดเรอนั้นทำได้ง่าย และสะดวกสบายสำหรับคุณ และลูกน้อยของคุณ

ต่อไปนี้เป็นเทคนิคการเรอที่ดีสำหรับทารกแรกเกิด:

เทคนิคที่ดีที่สุดในการทำให้ทารกแรกเกิดการเรอโดยทั่วไปจะแตกต่างกันไปตามทารก และผู้

ปกครองแต่ละคน ใช้วิธีที่เหมาะกับคุณมากที่สุด

ข้อควรจำในขณะที่กำลังทำให้ทารกเรอ

สรุป

การเรอเป็นวิธีที่สะดวกในการบรรเทาอาการของทารกจากการมีแก๊สอยู่ในทางเดินอาหาร นอกจากนี้ยังป้องกันการสะสมของแก๊ส และมีคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่จำนวนมากนำไปปฏิบัติ มีงานวิจัยไม่มากนักที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการเรอ

ทารกที่กินนมแม่มักเรอน้อยลงเนื่องจากทารกกลืนอากาศเข้าไปน้อยลง เมื่อลูกแรกเกิดของคุณอายุได้ 4-6 เดือน ลูกน้อยจะเรอมากเกินความจำเป็น คุณพ่อ คุณแม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ มักจะบอกได้ว่าทารกจะต้องการเรอหากทารกดิ้น หรือดึงลำตัวออกในขณะที่กำลังให้นม ในฐานะพ่อแม่ คุณมีหน้าที่เฝ้าดูทารกแรกเกิด และตัดสินใจโดยพิจารณาจากอาการไม่สบาย หรือมีแก๊สในทางเดินอาหารหลังการให้นมหรือไม่ และจำเป็นต้องทำให้ลูกน้อยเรอหรือไม่

อย่าลืมเทคนิคที่ดีในการทำให้ทารกแรกเกิดการเรอตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่จำไว้ว่าเทคนิคที่ดีที่สุดที่ทำให้ทารกแรกเกิดเรอ คือ เทคนิคที่เหมาะกับคุณ และลูกน้อยของคุณ เราหวังว่าบทความนี้จะตอบคำถามส่วนใหญ่ของคุณเกี่ยวกับวิธีการทำให้เด็กแรกเกิดเรอ รวมไปถึง เทคนิคการทำให้ทารกแรกเกิดเรอในแบบต่าง ๆ ได้

ทำไมการฉีดวัคซีนให้กับเด็กจึงมีความสำคัญมาก การสร้างภูมิคุ้มกันในวัยเด็กมีความสำคัญเนื่องจากทารกแรกเกิดมีความไวต่อโรค และการติดเชื้อต่าง ๆ มากมายนอกจากนี้ ยังเป็นความรับผิดชอบของคุณพ่อ คุณแม่ที่จะต้องปกป้องพวกเขา เนื่องจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และการแทรกแซงของสารภูมิต้านทานของคุณแม่ ทารกแรกเกิดที่อายุน้อยมากมักไม่ค่อยตอบสนองต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน

การให้ภูมิคุ้มกันในระหว่างตั้งครรภ์มีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และภูมิคุ้มกันสำหรับโรคต่าง ๆ ที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน การสร้างภูมิคุ้มกันของคุณแม่จะช่วยปกป้องทั้งคุณแม่ และทารกไม่ให้เกิดอาการเจ็บป่วยจากการบาดเจ็บจากการคลอด ในช่วงหกเดือนแรกของชีวิต จำเป็นต้องมีสารภูมิต้านทาน

การให้วัคซีนป้องกันบาดทะยัก ไข้หวัดใหญ่ และไอกรนระหว่างตั้งครรภ์เพื่อป้องกันไม่ให้คุณแม่ตั้งครรภ์ และทารกมีโรคเหล่านี้

การทบทวนล่าสุดที่จัดทำโดยองค์การอนามัยโลกแสดงให้เห็นว่าไม่มีหลักฐานของผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ในสตรีมีครรภ์ หรือทารก หากพวกเขาได้รับสารพิษบาดทะยัก วัคซีนป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมอง และไขสันหลังอักเสบ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อตาย หรือวัคซีนโปลิโอชนิดเชื้อตาย

การศึกษาบางชิ้นจากประเทศสหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ และอิสราเอลได้แสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนโปลิโอระหว่างตั้งครรภ์นั้นปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ และไม่พบว่ามีความเสี่ยงของความพิการเพิ่มขึ้น

ในช่วงระยะเวลา 0-4 สัปดาห์ ทารกแรกเกิดสามารถรับการฉีดวัคซีนสองสามครั้งแรก เช่น วัคซีนบีซีจี ไวรัสตับอักเสบบี ในปริมาณยาสำหรับแรกเกิด และ OPV ในปริมาณยาสำหรับแรกเกิด ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเหล่านี้จากหน่วยบริการสุขภาพ สำหรับทารกที่คลอดก่อนกำหนดจำเป็นต้องฉีดวัคซีน

วัคซีนบีซีจี

BCG หรือ Bacille Calmette-Guerin เป็นวัคซีนสำหรับวัณโรค BCG ใช้ในหลายประเทศที่มีความชุกของ TB สูงเพื่อป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากวัณโรคในเด็ก และวัณโรคชนิดแพร่กระจายทางกระแสเลือด

วัณโรคคืออะไร

วัณโรค (TB) เป็นโรคติดเชื้อรุนแรงที่อาจส่งผลต่อปอดเป็นส่วนใหญ่ แบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรคแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านทางละอองเล็ก ๆ ที่ปล่อยสู่อากาศโดยการไอ และจาม ปอดของทารกแรกเกิดมีความไวต่อไวรัสชนิดนี้ และมีความเสี่ยงอย่างมากต่อการเกิดวัณโรค

ทำไมทารกแรกเกิดจึงควรได้รับวัคซีนบีซีจี

รูปแบบปริมาณยาสำหรับการฉีดวัคซีน

หลังคลอด ทารกแรกเกิดควรได้รับวัคซีนจากผู้ให้บริการด้านสุขภาพจากโรงพยาบาลเดียวกัน หรือให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้จนถึงอายุหนึ่งปี ปริมาณยาควรมีความแม่นยำ คือ 0.1 มล. (0.05 มล. จนถึงอายุ 1 เดือน) โดยฉีดใต้ผิวหนังบริเวณต้นแขนซ้าย

ปริมาณยาของวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

แนะนำให้ฉีดไวรัสตับอักเสบบีรวม 3 ปริมาณยาสำหรับเด็กเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ปริมาณยาแรกต้องให้หลังจากคลอดภายใน 24 ชั่วโมง

ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคตับที่ติดต่อได้ซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบบี เมื่อบุคคลติดเชื้อไวรัสเป็นครั้งแรก บุคคลที่ติดเชื้อจะสามารถพัฒนาไปเป็นการติดเชื้อ "เฉียบพลัน" (ระยะสั้น) ได้ ไวรัสตับอักเสบบีเฉียบพลัน หมายถึง ระยะเวลาหกเดือนแรกหลังจากที่มีการติดเชื้อ

การติดเชื้อนี้มีตั้งแต่อาการป่วยเล็กน้อยที่มีอาการเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย ปจนถึงภาวะร้ายแรงที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล บางคนสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อ และกำจัดไวรัสได้

สำหรับคนอื่น ๆ การติดเชื้อจะยังคงอยู่ และเป็นแบบ "เรื้อรัง" หรือเป็นไปตลอดชีวิต โรคตับอักเสบบีเรื้อรัง หมายถึง การติดเชื้อเมื่อยังคงทำงานอยู่แทนที่จะดีขึ้นหลังจากหกเดือน เมื่อเวลาผ่านไป การติดเชื้ออาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง หรือเป็นโรคมะเร็งตับได้

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี

โดยปกติแล้วทารกแรกเกิดจะไม่แสดงอาการใด ๆ

ทำไมเด็กแรกเกิดจึงควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

เพื่อปกป้องลูกน้อยของคุณจากโรคไวรัสตับอักเสบบีซึ่งเป็นโรคร้ายแรง

ป้องกันไม่ให้ลูกน้อยของคุณเป็นโรคตับ และมะเร็งจากไวรัสตับอักเสบบี

ปกป้องผู้อื่นจากโรคนี้ เพราะเด็กที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีมักไม่มีอาการ แต่อาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดย ไม่มีใครรู้ว่าตนติดเชื้อ

ปริมาณยาของวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีคือเท่าไหร่?

ควรให้วัคซีนตั้งแต่แรกเกิด หรือให้เร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง ให้ปริมาณยาแก่ทารกที่ขนาด 0.5 มล. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นขากลางด้านซ้ายด้านใดด้านหนึ่ง

OPV

วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน รวมทั้งปริมาณยาสำหรับแรกเกิด (เรียกว่า 0 โดส เนื่องจากไม่นับรวมในชุดหลัก) แนะนำให้ใช้ในประเทศที่มีโรคโปลิโอเฉพาะถิ่นทั้งหมด รวมถึงในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงต่อการนำเข้า และการแพร่กระจายที่ตามมา ควรให้ปริมาณยานี้ตั้งแต่แรกเกิด หรือให้เร็วที่สุดหลังคลอด

เหตุใดจึงควรให้วัคซีนโปลิโอทางปากแก่ทารกแรกเกิด

โรคโปลิโอไวรัสคืออะไร

โรคโปลิโอเป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสซึ่งเป็นรูปแบบที่รุนแรงที่สุด และทำให้เกิดการบาดเจ็บของเส้นประสาท ทำให้เกิดการเป็นอัมพาต หายใจลำบาก และบางครั้งอาจถึงแก่ชีวิตได้

ปริมาณยาของวัคซีนทางปากมีหลายขนาด และทุกปริมาณยามีความปลอดภัยอย่างแน่นอน การให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอแก่เด็กหลาย ๆ ปริมาณยานั้นปลอดภัยแน่นอน วัคซีนได้รับการออกแบบให้ฉีดหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถป้องกันโรคได้อย่างเต็มที่

ในประเทศเขตร้อนต่าง ๆ เด็ก ๆ ต้องได้รับวัคซีนโปลิโอหลายปริมาณยาเพื่อให้ได้รับการป้องกันอย่างเต็มที่ บางครั้งอาจมากกว่า 10 ปริมาณยา วัคซีนนี้ปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ ทุกคน ปริมาณยาเพิ่มเติมแต่ละครั้งจะช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคโปลิโอของเด็ก

รูปแบบปริมาณยาของ OPV

ควรให้ OPV ตั้งแต่แรกเกิด หรือให้เร็วที่สุดภายใน 15 วันแรก ทารกจะได้รับวัคซีนเพียงสองหยดทางปาก

การดูแลทารกแรกเกิดให้ถูกสุขลักษณะ

สุขอนามัยที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ และรักษาอายุขัยที่ยืนยาว สุขอนามัยที่ดี หมายถึงการหลีกเลี่ยงความเจ็บป่วย และการมีชีวิตที่ดี เด็กจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานเพราะสุขอนามัยของพวกเขาถูกละเลย

สุขอนามัยของทารกแรกเกิด ได้แก่ การอาบน้ำเป็นประจำ การให้ความชุ่มชื้น การทำความสะอาดบริเวณผ้าอ้อม การทำความสะอาดสายสะดือ และอื่น ๆ

การอาบน้ำ

สามารถเลื่อนเวลาในการอาบน้ำให้ช้าลงหลังจากการอาบครั้งแรกไปอีก 12–24 ชั่วโมง ปัจจุบัน น้ำยาทำความสะอาดอาบน้ำมีสารลดแรงตึงผิวที่เป็นอันตรายต่อผิวหนังของเด็กอายุสองสัปดาห์ น้ำยาทำความสะอาดผิวควรปราศจากสบู่ และควรมีค่า pH ที่เป็นกรด หรือเป็นกรดเล็กน้อย (pH 5.5 ถึง 7.0) ดังนั้นให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ปราศจากสารเคมีที่ไม่เป็นอันตราย และหลีกเลี่ยงการอาบน้ำทารกแรกเกิดมากเกินไป

หากเป็นไปได้ ให้ทาไขหุ้มทารกบนผิวหนังของทารก ไข เป็นสารเคลือบมันประเภทหนึ่งเพื่อปกป้องผิวของทารกแรกเกิด

การอาบน้ำด้วยฟองสบู่จะดีกว่าการอาบน้ำด้วยฟองน้ำ การอาบน้ำด้วยฟองน้ำอาจมีแบคทีเรียบนฟองน้ำที่มีลักษณะเปียก

มอยเจอร์ไรเซอร์

ใช้ครีมบำรุงผิว หรือครีมบำรุงผิวเพื่อป้องกันโรคผิวหนังภูมิแพ้ในเด็กแรกเกิด ทาสารให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวให้ทั่วถึง และเป็นชั้นบาง ๆ หลีกเลี่ยงการให้ความชุ่มชื้นมากเกินไปเนื่องจากจะส่งผลต่อผิวของทารก

สายสะดือ

ต้องตัดสายสะดือด้วยกรรไกรที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว ห้ามใช้น้ำยาฆ่าเชื้อในการทำความสะอาดตอสายสะดือ ควรทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 4-5 วันหลังคลอด

ทำความสะอาดบริเวณผ้าอ้อม

รักษาความสะอาดบริเวณผ้าอ้อมเสมอ ทุกครั้งที่คุณแม่เปลี่ยนผ้าอ้อม ควรทำความสะอาดด้วยทิชชู่เปียกที่มีค่า pH ที่มีสารที่สามารถทำให้ทั้งกรด และด่างเป็นกลาง ผ้าเช็ดทำความสะอาดควรปราศจากแอลกอฮอล์ หลังจากนั้นให้ทาครีมเพื่อป้องกันผิวหนังอักเสบ

ครีมกันแดด

หลีกเลี่ยงการให้ทารกแรกเกิดสัมผัสแสงแดดโดยตรง แสงแดดเป็นอันตรายต่อทารก ใช้เสื้อผ้าที่ป้องกันแสงแดด ขอแนะนำให้ใช้เสื้อผ้าสีขาว และสีอ่อนเพื่อใช้ผ้าคลุมศีรษะเพื่อไม่ให้อากาศเข้าไปในหูของทารกมากเกินไป

การดูแลสุขภาพของทารกแรกเกิด

สรุป

คุณคงได้เรียนรู้จนถึงตอนนี้มากขึ้นแล้วว่าทำไมการฉีดวัคซีนให้กับเด็กจึงมีความสำคัญ หลังคลอด ทารกแรกเกิดจะไวต่อการติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรียสูง นั่นเป็นเหตุผลที่ทารกควรได้รับการฉีดวัคซีนที่จำเป็นทั้งสามอย่าง ได้แก่ วัคซีนบีซีจีวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี และวัคซีน OPV

เนื่องจากทารกมีผิวที่บอบบาง การมีสุขอนามัยที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการดูแลทารกแรกเกิด เช่น การทำความสะอาดสายสะดือ การอาบน้ำเป็นประจำ การให้ความชุ่มชื้น การเปลี่ยนผ้าอ้อม ความสะอาดบริเวณผ้าอ้อม การป้องกันใต้ผิวหนัง การป้องกันดวงตา เป็นต้น

การดูแลสุขภาพทารกแรกเกิดเป็นส่วนสำคัญของหน้าที่ความเป็นแม่ของคุณ ซึ่งไม่สามารถละเลยได้ เราหวังว่าบทความเกี่ยวกับการดูแลทารกแรกเกิดนี้จะสามารถตอบคำถามของคุณได้ว่าทำไมการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กจึงมีความสำคัญ

ไขมันเป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อยของคุณ ทารกต้องการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วโดยที่คุณแม่ต้องการแคลอรี่จำนวนมากที่มีความสัมพันธ์กับขนาดร่างกายของทารก ไขมันมีแคลอรี่ต่อกรัมมากกว่าโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตมากกว่าถึงสองเท่า

คุณพ่อ คุณแม่ต่างพากันมองหาวิธีเลี้ยงลูกด้วยอาหารที่ดีต่อสุขภาพมายาวนานหลายปี ตั้งแต่การค้นหาทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพแทนการให้เด็กรับประทานนมวัว ไปจนถึงการค้นหาสูตรอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ แต่คุณทราบหรือไม่ว่ามีไขมันนั้นดีต่อสุขภาพของทารก

ไขมันเป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีการกล่าวถึงบ่อยที่สุดในอาหารของเรา แม้ว่าเราจะมีมุมมองเกี่ยวกับไขมันในอาหารสำหรับผู้ใหญ่ที่แตกต่างกันมากมาย แต่ไขมันชนิดไหน และปริมาณเท่าใดที่ทารกต้องการมากที่สุด

ไขมันเป็นสารอาหารที่จำเป็นซึ่งมีบทบาทมากมายในการเจริญเติบโต และพัฒนาการของทารก เราสามารถพบไขมันได้ในอาหารหลากหลายประเภทที่อยู่ตรงข้ามกันอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

นี่คือสิ่งที่คุณต้องทราบเกี่ยวกับไขมันที่ดีต่อสุขภาพสำหรับทารก รวมถึงเราจะสามารถหาได้จากที่ไหน

ไขมันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทารก

ไขมันเป็นส่วนสำคัญของอาหารของเด็กเล็ก ดังนั้นคุณควรคำนึงถึงปริมาณแคลอรี่ที่เด็กจะได้รับด้วย

ร่างกายเผาผลาญไขมันเพื่อเป็นเชื้อเพลิงแต่ยังคงเก็บเซลล์ไขมันเอาไว้ใช้ในภายหลัง ร่างกายใช้ไขมันเพื่อเป็นเกราะป้องกันอวัยวะ ผลิตฮอร์โมน และปกป้องเนื้อเยื่อของระบบประสาท ไขมันยังมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต และการเพิ่มน้ำหนักของทารกอีกด้วย

ไขมันดีจำเป็นต่อการเจริญเติบโต และทำหน้าที่เป็น 'สารอาหารเสริม' ไขมันช่วยส่งเสริมการพัฒนาสมอง อวัยวะที่แข็งแรงของกระดูก หรือแม้กระทั่งช่วยในการบำรุงรักษาระบบภูมิคุ้มกัน! ซึ่งคำนึงถึงไมอีลินส่วนใหญ่ (ไขมันที่เคลือบบนเซลล์ประสาทที่ช่วยให้ทารกสามารถคิดได้เร็ว) ช่วยกระตุ้นศูนย์การเรียนรู้ความจำของสมอง นอกจากนี้ยังช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A วิตามิน D วิตามิน E และวิตามิน K ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในอาหาร นอกจากนี้ เนื่องจากไขมันมีแคลอรี่สูง การรับประทานไขมันในปิมาณน้อยก็เพียงพอสำหรับร่างกายแล้ว ไขมันประกอบไปด้วย DHA กรด และกรดโอเมก้า 3 หนึ่งชนิด ซึ่งช่วยเพิ่มการทำงานของภูมิคุ้มกัน รักษาดวงตา ​​ป้องกันผมร่วง ทำให้ผิวสวย เล็บแข็งแรง ไขมันสามารถพบได้ในอาหาร อะโวคาโด ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มะกอก เมล็ดถั่ว น้ำมันจากพืช ขนมแปรรูปหลากหลายชนิด ขนมอบ อาหารจานด่วน อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบการบริโภคของเด็กนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น

ข้อกำหนดเกี่ยวกับไขมันของทารก

เคล็ดลับเพื่อให้แน่ใจว่าลูกน้อยของคุณได้รับไขมันที่ดีต่อสุขภาพ

ให้ลูกน้อยของคุณได้รับแหล่งไขมันคุณภาพสูง

อย่าจำกัดปริมาณการรับประทานไขมันในอาหารของลูกน้อยจนกว่าลูกน้อยของคุณจะอายุครบสองปี ซึ่งหมายความว่า หากลูกน้อยของคุณกำลังเปลี่ยนจากการดื่มน้ำนมแม่ หรือนมสูตรผสมไปเป็นนมวัว ให้คุณเลือกพันธุ์วัวที่มีไขมันไม่อิ่มตัว ยกเว้นว่าแพทย์จะแนะนำเป็นอย่างอื่น รวมไปถึงไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และเชิงซ้อนในปริมาณมาก (โปรดปรับเปลี่ยนตามเนื้อสัมผัส) เช่น ปลา ไข่ เมล็ดพืช ถั่ว และอะโวคาโด

หลังจากที่ลูกน้อยของคุณมีอายุครบสองปีแล้ว ลูกน้อยควรปฏิบัติตามนิสัยการกินที่ดีต่อสุขภาพเช่นเดียวกับคุณซึ่งรวมไปถึง ธัญพืชเต็มเมล็ด ผลไม้ ผัก ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ อาหารที่มีโปรตีนสูงอื่น ๆ และไขมันคุณภาพสูงในปริมาณที่พอเหมาะ

จำกัดปริมาณการรับประทานไขมันอิ่มตัว

หลีกเลี่ยงไขมันทรานส์

บริโภคไขมัน 'ดี' ให้มากขึ้น

จดบันทึกสัดส่วนของการรับประทาน

เนื่องจากไขมันมีแคลอรีมากกว่าโปรตีน และคาร์โบไฮเดรต ทุกคนที่มีอายุเกินสองปีจึงควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ แม้ว่าไขมันในอาหารคุณภาพสูงจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็ยังจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจำกัดปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดของคุณ

คุณสงสัยหรือไม่ว่าคุณจะผสมไขมันดีลงในอาหารของลูกน้อยได้อย่างไร ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการเพิ่มไขมันดี:

สรุป

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไขมันเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และไขมันที่ดีต่อสุขภาพสำหรับทารกก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทารก

ความสำคัญของไขมันในอาหารของทารกเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องทำความเข้าใจ ไขมันไม่เพียงแต่ให้พลังงานแก่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยสนับสนุนการทำงานของร่างกายที่สำคัญได้อีกด้วย

ลูกน้อยของคุณเติบโตขึ้นทุกวัน และใช้พลังงานจากอาหารที่คุณรับประทานเพื่อเพิ่มขนาดตัวให้ใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น และฉลาดขึ้น ดังนั้น คุณควรรับประทานไขมันดีทุกครั้งที่คุณสามารถทำได้! และเมื่อคุณต้องการการเปลี่ยนแปลง เราพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ให้คุณปรุงอาหารผสมสำหรับทารกที่สดใหม่ที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ต้องปรุงเอง!

อย่างที่เราได้เห็นกันแล้วว่า ไขมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเท่ากันทั้งหมด และไขมันบางชนิดก็ดีกว่าไขมันชนิดอื่น ลูกน้อยของคุณจะได้รับไขมันดีตามธรรมชาติตามที่พวกเขาต้องการได้จากการรับประทานอาหารที่หลากหลายทั้งอาหารสด อาหารไม่ขัดสี โปรตีนไม่ติดมัน น้ำมันปลา และน้ำมันที่ไม่ผ่านการเติมไฮโดรเจน