มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ให้เห็นว่า เด็กเจริญที่เติบโตด้วยการรับประทานอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักและหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จากสัตว์จะมีภูมิต้านทานโรคมากกว่าเด็กทั่วไป

มีสุขภาพแข็งแรงและไม่ล้มป่วยง่าย อยากรู้ไหมว่าเพราะอะไร?

โปรตีน

แท้จริงแล้วมีพืชผักหลายชนิดที่สามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนได้ ซึ่งกรดอะมิโนนี้สามารถสร้างโปรตีนคุณภาพเยี่ยมได้ ยกตัวอย่างเช่นในบลอคโคลี่ 100 กรัมมีปริมาณโปรตีนมากกว่าโปรตีนในเนื้อ 100 กรัมเสียอีก ที่สำคัญในพืชผักใบเขียวและเมล็ดธัญพืชก็ประกอบไปด้วยโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว การรับประทานอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักซึ่งผ่านการจัดสรรอย่างเหมาะสมจะทำให้ร่างกายของคุณได้รับโปรตีนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายโดยไม่ต้องรับประทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์เลย

แคลเซี่ยม

รู้หรือไม่? ร่างกายของสัตว์ไม่สามารถสร้างแคลเซียมได้ แน่นอนว่าในเนื้อสัตว์ เนื้อไก่และไข่ไม่มีสารอาหารประเภทแคลเซียมรวมอยู่เลยแต่พืชผักผลไม้นั้นได้ดูดซึมแคลเซียมมาจากพื้นดิน เพราะฉะนั้นพืชผักใบเขียว กล้วยและเมล็ดพันธ์พืชต่าง ๆ ต่างหากที่เปี่ยมไปด้วยแคลเซียม

ธาตุเหล็ก

โปรตีนที่อยู่ในน้ำนมวัวนั้นทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ซึ่งแตกต่างจากนมแม่ที่ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารที่รับประทานเข้าไปได้เป็นอย่างดี พืชผักอย่างมะเขือเทศ ผักใบเขียว ธัญพืชและเมล็ดพันธ์พืชต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ประกอบไปด้วยธาตุเหล็กในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ ส่วนธาตุเหล็กที่ได้รับผ่านผลิตภัณฑ์จากสัตว์นั้นเป็นที่รู้กันดีว่ามีส่วนผสมของสารอนุมูลอิสระที่อาจทำให้เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตกได้

วิตามินดี

วิตามินดีนั้นร่างกายของเราสามารถสร้างขึ้นเองได้เมื่อได้รับการกระตุ้นจากแสงแดด (โฟโตเคมี) เพียงแค่คุณออกไปรับแสงแดดยามเช้าชั่วระยะเวลาหนึ่ง ร่างกายก็จะสามารถสร้างวิตามินดีขึ้นมาได้โดยไม่ต้องรับประทานอาหารใด ๆ เลย

วิตามินบี 12

วิตามินบี 12 นั้นถูกสร้างขึ้นโดยแบคทีเรียที่อยู่ในดิน ถ้าหากเด็กได้รับประทานพืชผักออร์แกนิคที่ไม่ผ่านการชะล้างด้วยสารเคมีจากสวนพืชผักออร์แกนิค แบคทีเรียชนิดนี้ก็จะยังคงอยู่บนพืชผักและจะสร้างวิตามินบี 12 ที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายขึ้นในทางเดินอาหารของเรา อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ไม่สามารถจัดหาผักออร์แกนิคมารับประทานได้ แพทย์จะแนะนำให้รับประทานอาหารเสริมเพื่อเติมวิตามินบี 12 ให้กับร่างกายทดแทน

ไขมันโอเมก้า 3

นพ. จอห์น แมคดูกัลยืนยันว่ามีเพียงพืชเท่านั้นที่สามารถสังเคราะห์กรดไขมันโอเมก้า 3 และไขมันโอเมก้า 6 ขึ้นมาได้ ปลาเพียงแค่เปลี่ยนสารอาหารเหล่านี้ให้เป็นกรดไขมันเช่นเดียวกับ EPA และ DHA มนุษย์เองก็สามารถสร้างกรดไขมันเหล่านี้ขึ้นมาได้เองภายในร่างกายเช่นกัน เช่นเดียวกับที่ปลาสร้างกรดไขมันเหล่านี้ขึ้นมาด้วยตัวมันเอง เราจึงไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานปลาเพื่อกรดไขมันที่เราสามารถสร้างขึ้นเองได้ในร่างกาย นอกจากนี้การรับประทานปลายังทำให้ร่างกายได้รับสารเมไทโอนีน (สารก่อมะเร็ง) มีคอเลสเตอรอลสูงและยังเสี่ยงต่อสารปนเปื้อนจากโรงงานอุตสาหกรรมอีกด้วย

แคลอรี่

อาหารประเภทแป้งอย่างธัญพืช มันฝรั่งให้พลังงานที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ส่วนอโวคาโด เมล็ดพันธุ์พืชและผลไม้อบแห้งให้แคลอรี่ที่มีส่วนสำคัญในกระบวนการเจริญเติบโตมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกาย ที่สำคัญอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักเหล่านี้ยังช่วยให้ลูกของคุณอิ่มท้องอีกด้วย

อาหารที่มีส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จากสัตว์นั้นล้วนแล้วแต่ให้แคลลอรี่สูง มีสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็ง มีไขมันอิ่มตัวสูงและไม่มีกากใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แตกต่างจากอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักที่มีสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพของบุตรหลานของท่าน

ข้อมูลอ้างอิง:

  1. นพ. โจเอล เฟอร์แมน ผู้แต่งหนังสือ โรคที่พิสูจน์ได้ในเด็ก
  2. นพ. จอห์น แมคดูกัล ั

ลูกน้อยของคุณคือของขวัญที่มีค่าทีสุดในชีวิตของคนเป็นพ่อแม่เช่นคุณ คุณจึงอยากมอบของขวัญที่ดีที่สุดให้กับเขาตั้งแต่แรกเกิด : และของขวัญนั้นคือสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน

โภชนาการในวัยเด็กจะส่งผลโดยตรงกับสุขภาพของคุณเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ คุณคงไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยของคุณต้องล้มป่วยเพียงเพราะจัดการเรื่องโภชนาการอาหารได้ไม่ดีพอ

อุปนิสัยในการรับประทานสร้างได้ตั้งแต่วัยเยาว์:

ลองจินตนาการถึงเด็ก ๆ ที่เคยชินกับการรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยเกลือและน้ำตาลสิ, เราต่างรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ดีต่อพวกเขา

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยอาหารที่มีปริมาณเกลือต่ำจะทำให้เขาไม่อยากรับประทานรสเค็มจัดเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แน่นอนว่าสำหรับเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยอาหารที่มีปริมาณเกลือสูงก็จะยังคงเคยชินและติดการรับประทานเค็มเช่นนี้ไปตลอดชีวิตของพวกเขา

อุปนิสัยที่ไม่ดีในการรับประทานเกลือและน้ำตาลที่มากเกินไปนั้นจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อพวกเขาได้รับอนุญาติให้รับประทานสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ

ดังนั้นจึงไม่ควรเก็บอาหารที่ไม่ต้องการให้เขารับประทานไว้ในบ้าน เพราะพวกเด็ก ๆ มีความสามารถที่จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าพวกเขาสามารถที่จะปฏิเสธการรับประทานอาหารที่คุณจัดเตรียมไว้ได้ด้วยความเกรี้ยวกราดและงอแงไม่หยุดจนกว่าเขาจะได้รับประทานอาหารที่เขาต้องการ

เด็ก ๆ ควรได้รับอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลัก (เพื่อให้พวกเขาได้รับคุณค่าจากพืชผักผลไม้ทั้งหมด) เป็นอาหารที่มีสารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการที่เด็กต้องการในการเจริญเติบโตซึ่งอยู่ในผักผลไม้ต่าง ๆ ธัญพืชและเมล็ดพันธ์พืชในทุก ๆ วัน

แพทย์ยืนยันว่าการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพนั้นคือการรับประทานอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักจะช่วยให้ลูกน้อยของคุณมีขีวิตที่มีความสุข เจริญเติบโตอย่างแข็งแรงสมวัยและมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

สร้างเสริมสุขภาพที่ดีด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

อุปนิสัยในการรับประทานอาหารมีความสัมพันธ์กับสุขภาพโดยตรงของลูกน้อย สุขภาพของพวกเขาจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณป้อนให้รับประทาน ดังนั้นคุณต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า อาหารไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่ใช้ในการดับความหิวกระหายเท่านั้นแต่ยังเป็นแหล่งพลังงานและสารอาหารที่ร่างกายต้องการด้วย นี่คือเคล็ดลับบางส่วนที่จะจะทำให้ลูกน้อยของคุณมีความสุขไปกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ:

สร้างตารางเวลาสำหรับกิจวัตรประจำวันในแต่ละวันของเด็กๆ

สร้างตารางการรับประทานอาหารประจำวันที่จะทำให้ลูกน้อยมีวินัยและอุปสัยที่ดีในการรับประทานอาหารให้ตรงเวลา

ข้อมูลอ้างอิง:

  1. เคลลี่ ดอล์ฟแมน (วท.ม.) ผู้แต่งหนังสือ รักษาลูกน้อยด้วยอาหาร
  2. นพ. มิลตัล อาร์ มิล ผู้อำนวยการสมาคมเวชศาสตร์ป้องกัน PCRM
  3. นพ. โจเอล เฟอร์แมน ผู้แต่งหนังสือ โรคที่พิสูจน์ได้ในเด็ก
  4. พญ. นาตาลี เกียรี และ ดร. ออซ การ์เซีย ผู้แต่งหนังสือ อาหารรักษาโรคสำหรับเด็ก

การรับประทานอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักและหลีกเลี่ยงส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์เพื่อการเจริญเติบโตที่แข็งแรงสมบูณ์ของลูกน้อยของคุณ

อาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายและการเจริญเติบโตของลูกน้อยอย่างครบถ้วนแล้ว สำหรับคุณแม่ยุคใหม่การมีความรู้ความเข้าใจในการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารก่อนจะตัดสินใจซื้อจะยิ่งช่วยให้ลูกน้อยของคุณได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพ

สิ่งที่คุณต้องมองหาบนฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร

ส่วนผสม:

ส่วนผสมและเครื่องปรุงของผลิตภัณฑ์จะถูกเรียงลำดับตามสัดส่วนจากมากไปน้อย คุณแม่ควรอ่านรายการส่วนผสมให้ครบทั้งหมดทุกรายการเพื่อให้มั่นใจว่าทุกส่วนผสมทำมาจากพืชทั้งหมดและควรตรวจสอบว่ามีส่วนผสมของนมเนยหรือสารเคมีอื่น ๆ ปนเปื้อนมาหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตหลายรายที่ใส่ส่วนประกอบแยกย่อยหลายชนิดในอาหารเพื่อปรุงรสชาติของผลิตภัณฑ์ให้ถูกปากผู้บริโภค ซึ่งส่วนประกอบที่คุณต้องจับตาดูเป็นพิเศษได้แก่งจับตาดูเป็นพิเศษได้แก่

ปริมาณต่อหนึ่งหน่วยบริโภค:

อาจเป็นไปได้ว่าผู้ผลิตจงใจที่จะแสดงปริมาณหน่วยบริโภคหลายหน่วยสำหรับผลิตภัณฑ์ 1 ชิ้น เพื่อลดปริมาณส่วนประกอบที่ไม่มีประโยชน์ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคลง ดังนั้นคุณแม่จึงควรอ่านฉลากเกี่ยวกับปริมาณต่อหนึ่งหน่วยบริโภคและส่วนประกอบให้ละเอียดด้วย

เทคนิคในการประกอบอาหาร:

แนวทางการรับประทานอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักนั้น คือการเลือกรับประทานอาหารที่ผ่านขั้นตอนการแปรรูปมาน้อยที่สุด อย่างเช่นการอบแห้ง การดึงความชื้นออกจากวัตถุดิบ การบด การป่นให้เป็นผงหรือการแตกหน่อซึ่งเป็นประบวนการที่ถูกต้องและปลอดภัย อย่างไรก็ดีอย่าเชื่อข้อความบนฉลากที่เขียนว่า “ส่วนประกอบทำมาจากพืชทั้งหมด” จนกว่าจะเห็นตรารับรองบนผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “มีส่วนประกอบทำมาจากพืชทั้งหมด 100%”

กับดัก:

หากบนฉลากผลิตภัณฑ์ระบุว่า “ปราศจากไขมัน” ก็อาจเป็นไปได้ว่ามีการใส่น้ำตาลเป็นจำนวนมากเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ปราศจากไขมัน หรือผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากระบุว่า “ปราศจากนมเนย” แต่ยังมีส่วนประกอบของนมเนยที่แตกออกมาและอยู่ในชื่อที่คุณไม่คุ้นเคยอย่าง สารเรนนิน เรนเนท กรดแลคติค แลคโตส โซเดียม เคซีนเนต แอลบูเมน เวย์โปรตีน เวย์ และ เคซีนผสมอยู่ก็เป็นได้

เงื่อนไขอื่น ๆ:

มองหาตราสัญลักษณ์ PBWF ที่ติดอยู่บนผลิตภัณฑ์เน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลัก เพราะเมื่อคุณเห็นผลิตภัณฑ์ที่มีตราสัญชักษณ์นี้ คุณสามารถมั่นใจได้เลยว่าผลิตภัณฑ์นี้คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อยของคุณแน่นอน

อาหารที่คุณแม่รับประทานมีความสำคัญอย่างยิ่ง

เพราะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็ต้องการสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเช่นเดียวกับลูกน้อยที่ต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์

ช่วงเวลาตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการพิจารณารูปแบบการดำเนินชีวิตของคุณอีกครั้งและเป็นช่วงเลือกพื้นฐานทางโภชนาการให้กับลูกน้อยของคุณ ดังนั้นแล้ว อะไรคือรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ดีที่สุดล่ะ? แพทย์ทั้งหลายแนะนำอาหารจากพืชทั้งส่วนเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์

การเลือกรับประทานอาหารจาก พืชทั้งส่วนด้วยตัวคุ เอง!

สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการเลิกดื่มนมวัว! แพทย์ต่างๆกล่าวว่ามันสามารถเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง

งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าคุณแม่ที่รับประทานผักในปริมาณมากในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางสมองที่ยอดเยี่ยม

ลดอาหารแปรรูปและรับประทานอาหารจากพืชทั้งส่วนเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและลูกน้อย! ในช่วง 7 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาตัวอ่อนของเด็กทารกซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่าตัวเองตั้งครรภ์ เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตของคุณและดำเนินต่อไปในช่วงเวลาตั้งครรภ์ ให้นมบุตรและอื่นๆเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพของลูกน้อยของคุณ

This orange mash does not contain oranges! It has the yummy blend of carrots and pumpkins! Bright, tasty and packed with nutrition, this mash is sure to be a favorite with your child. Warm and filling, carrots and pumpkins are also a great combination for a fulfilling dinner.

สิ่งที่คุณต้องการ

วิธีการ

Orange Mash ดีอย่างไร?

เมนูนี้เต็มไปด้วยเบต้า-แคโรทีน แครอทเป็นแหล่งของวิตามินA มีส่วนช่วยบำรุงสายตา ทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินB และวิตามินK ฟักทองก็เช่นกัน ให้วิตามินA และมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยปกป้องภูมิคุ้มกันของลูกน้อย ความสดใสของสีส้มทำให้อาหารน่าทานมากยิ่งขึ้น!

“อาหารที่มีประโยชน์ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงเป็นเรื่องพื้นฐานที่เรารู้กันดี”

- ที. คอลลิน แคมพ์เบล จากหนังสือของเขาเรื่อง “การศึกษาประเทศจีน”

การสร้างเสริมสุขภาพที่ดีในชีวิตประจำวันด้วยการรับประทานอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักนั้นง่ายกว่าที่คุณคิด ลองจินตนาการถึงอาหารเสริมเพื่อสุขภาพแสนอร่อยที่ทำมาจาก ผัก ผลไม้ พืชตระกูลกะหล่ำและธัญพืชที่เปี่ยมไปด้วยแร่ธาตุและคุณประโยชน์ ที่ได้มาจากอาหารที่มาจากธรรมชาติเหล่านี้ ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายต้องการ “อาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลัก” จึงเป็นสิ่งที่ลูกของคุณต้องการเพื่อการเจริญเติบโตอย่างแข็งแรงและมีพัฒนาการอย่างเหมาะสม

รู้หรือไม่?

ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการกล่าวว่า อาหารที่ทำมาจาก ผัก ผลไม้ พืชตระกูลกะหล่ำและธัญพืชเหล่านี้คือสุดยอดอาหารที่ประกอบไปด้วยสารอาหารที่ช่วยช่วยบำรุงครรภ์สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เหมาะสำหรับคุณแม่ที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตรและลูกน้อยวัยเด็ก วัยเจริญเติบโตไปจนถึงวัยรุ่น

การเลือกรับประทานอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักคือแนวทางที่ทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีและมีแต่เกิดผลดีต่อตัวคุณทั้งสิ้น

จุดเริ่มต้นของสุขภาพที่แข็งแรง

คุณคือผู้ที่เป็นตัวแปรสำคัญที่สุดในการวางแผนโภชนาการสำหรับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดเพื่อให้เขามีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์อย่างยั่งยืน ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือ “อาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลัก”

นอกจากนี้หากคุณเป็นคุณแม่ที่ต้องทำงานไปพร้อมกับการเลี้ยงดูบุตร หรือคุณคือคุณแม่ที่กำลังรู้สึกเหนื่อยกับการทำอาหารสำหรับลูกน้อยและกำลังมองหาหาตัวช่วย ผลิตภัณฑ์อาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลัก เป็นคำตอบที่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ต้องใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับลูกน้อยและภารกิจอื่น ๆ ตัวช่วยที่ทำให้คุณสะดวกสบายยิ่งขึ้นและยังมั่นใจได้ว่าลูกน้อยของคุณจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนเหมาะสมกับวัยเจริญเติบโตของเขา

เนื่องจากคนส่วนมากมักจะรับประทานอาหารที่เคยรับประทานในวัยเด็ก การเปลี่ยนมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพในภายหลังอาจต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือให้พวกเขาเริ่มรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพตั้งแต่วัยเยาว์เพื่อให้พวกเขาเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง มีความคุ้นชินกับอาหารและปรารถนาจะรับประทานแต่อาหารเพื่อสุขภาพที่ทำมาจากพืชผักเหล่านี้เท่านั้น

ก้าวแรกของทารกน้อย

แม้คุณจะเริ่มป้อนอาหารประเภทอื่นให้กับลูกน้อยไปแล้วก็ไม่ต้องกังวล เพราะไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการทำสิ่งที่ถูกต้อง คุณสามารถเริ่มแนะนำลูกให้ได้รู้จักกับอาหารเสริมที่ทำจากพืชผักล้วน ๆ ซึ่งประกอบไปด้วย ผัก ผลไม้ พืชตระกูลกะหล่ำและธัญพืชแสนอร่อย เพียงคุณเลือก ผลิตภัณฑ์อาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลัก มาให้ลูกน้องรับประทานตั้งแต่ตอนนี้

เมื่อเขาเริ่มรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเหล่านี้จนเกิดความเคยชินแล้วเขาจะเริ่มปฏิเสธอาหารที่ไม่มีประโยชน์ด้วยตนเอง การเริ่มตั้งแต่เขายังอยู่ในวัยเยาว์นั้นง่ายกว่าทุกช่วงวัย โดยปลูกฝังแนวคิดการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพให้เขาเสียตั้งแต่วันนี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย!

สอนให้เขาเข้าใจและเอาใจใส่เกี่ยวกับการเลือกอาหารมารับประทาน เลือกรับประทานผลไม้แทนที่จะเลือกขนมทอดกรอบและเลือกน้ำมะพร้าวแทนที่จะเลือกน้ำอัดลม รสชาติของอาหารที่ประกอบไปด้วยจากพืชผักสดจากธรรมชาติแท้ ๆ นั้นล้ำเลิศและเปี่ยมไปด้วยคุณค่ามากกว่าอาหารที่ถูกดัดแปลง มากกว่าพืชผักที่ถูกพ่นด้วยสารกำจัดแมลงและศัตรูพืช บุตรหลานของคุณจะรู้สึกขอบคุณและรับรู้ถึงความห่วงใยของคุณ เมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงในอนาคต

การเปลี่ยนมารับประทานอาหารจากพืชในช่วงวัยรุ่น

หากบุตรหลานของท่านอยู่ในวัยประถมและเคยชินกับการรับประทานอาหารประเภทอื่นแล้ว ไม่ต้องกังวล คุณยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ตอนนี้เพื่อสร้างเสริมสุขภาพของพวกเขาให้แข็งแรงสมบูรณ์อย่างยั่งยืนด้วยอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักซึ่งทำมาจากผัก ผลไม้ พืชตระกูลกะหล่ำและธัญพืชที่มาจากธรรมชาติ

เด็กในวัยนี้เริ่มเจริญเติบโตและสามารถรับรู้ได้แล้วว่าการที่พ่อแม่ของพวกเขาเริ่มให้รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพนั้นคือการแสดงถึงความรักและความห่วงใยต่อสุขภาพของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม เตรียมตัวให้พร้อมรับทุกสถานการณ์สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านโภชนาการนี้ เพราะความเคยชินในการรับประทานจะถูกปลูกฝังลงลึกในเด็กวัย10 ปีและจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดชีวิตของพวกเขา

การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นในการปรับเปลี่ยนแผนโภชนาการของครอบครัว

  1. ภายในห้องครัวจะต้องมีเพียงผลิตภัณฑ์อาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลัก กับเครื่องครัวสำหรับประกอบอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักเท่านั้น
  2. ตัดใจทิ้งอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่บุตรหลานของท่านอาจเข้ามาหยิบไปรับประทานให้หมด

ขณะที่คุณกำลังทำการเปลี่ยนแปลงแผนโภชนาการสำหรับบุตรหลาน ความเคยชินในการรับประทานอาหารของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเริ่มค้นพบรสชาติใหม่ที่แตกต่างซึ่งอาจทำให้เขารู้สึกชอบหรือไม่ชอบจนไม่อยากรับประทานก็ได้

จงเชื่อและมุ่งมั่นในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบุตรหลานโดยให้เขาได้รับประทานอาหารที่ทำมาจากผัก ผลไม้ พืชตระกูลกะหล่ำ และธัญพืชในอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักเพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรงอย่างยั่งยืน

อ่าน อาหารสุขภาพที่เหมาะสมกับทุกวัย เพื่อค้นพบอาหารหลากหลายสำหรับลูกน้อยของคุณ

ข้อมูลอ้างอิง:

อาหารเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ มาพร้อมกับรสชาติอร่อยน่ารับประทาน

เราได้รับคำยืนยันจากแพทย์ว่าอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักนั้นเหมาะสำหรับเด็กและเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา แต่คุณอาจกำลังกังวลว่าลูกน้อยของคุณจะไม่มีความสุขในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพหรือไม่ชอบรสชาติของอาหารเหล่านี้ใช่ไหม?

ลองคิดทบทวนดูก่อน : สิ่งที่คุณเคยชื่นชอบในช่วงวัยเจริญเติบโตนั้น ล้วนเกิดจากความเคยชินและถูกโน้มน้าวให้ชอบต่างหาก!

เหมือนกับการที่คุณถูกโน้มน้าวด้วยโฆษณาชวนเชื่อและความเคยชินให้รับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ลูกน้อยของคุณนั้นก็สามารถที่จะถูกโน้มน้าวให้ชอบอาหารที่เปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ได้เช่นกัน!

สอนให้ลูกน้อยของคุณสนใจและชื่นชอบสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย

เราในฐานะพ่อแม่ผู้เลี้ยงดูจึงต้องคอยสอนให้ลูกน้อยรู้จักแยกแยะอาหารที่ดีมีประโยชน์และอาหารที่ไม่ดีไม่มีประโยชน์ออกจากกัน

สอนให้พวกเขาเลือกรับประทานแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเด็กยังอยู่ในวัยทารกหรือยังเป็นเด็กเล็กอยู่ ขั้นตอนการฝึกให้เขาคุ้นชินกับรสชาติของอาหารที่เราป้อนให้นั้นยิ่งง่ายขึ้นเพราะเด็กส่วนใหญ่จะเรียนรู้และจดจำรสชาติที่ชื่นชอบในวัยนี้ เริ่มต้นด้วยการแนะนำให้ลูกน้อยรู้จักกับอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักก่อนที่พวกเขาจะพ้นช่วงวัยนี้ไป จะช่วยให้พวกเขาคุ้นเคยกับรสชาติ ชื่นชอบและรักการรับประทานอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักจนเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต

คอยหยิบยื่นอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลัก ผักและผลไม้ที่สดใหม่ไม่มีสารปนเปื้อนให้กับลูกน้อยอยู่เสมอ จนกระทั่งลูกน้อยคุ้นเคย เริ่มมองหาและหยิบอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักมารับประทานด้วยตนเองเมื่อรู้สึกหิว

แต่หากลูกของคุณเคยชินกับการทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์เสียแล้วก็ไม่ต้องกังวล ให้เริ่มจากการลดปริมาณอาหารที่เขาเคยชินลงทีละเล็กละน้อยและเพิ่มอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักเข้าไปแทนที่และค่อย ๆ เพิ่มปริมาณอย่างช้า ๆ จนในที่สุดลูกน้อยของคุณเปลี่ยนมารับประทานอาหารเน้นพืชและไม่ปรุงแต่งเป็นหลักทั้งหมดแทนที่อาหารแบบเก่าที่เคยรับประทานโดยที่เขายังไม่ทันรู้ตัว!

ข้อมูลอ้างอิง:

  1. ที ลอลลิน แคมพ์เบล ผู้แต่งหนังสือเรื่อง การศึกษาประเทศจีน

“อาหารปกติสำหรับคนคือผัก”

– ชาร์ลส ดาร์วิน

อาหารที่ธรรมชาติให้เรามาคืออาหารเพื่อสุขภาพ

แพทย์ต่างๆกล่าวว่าผลิตภัณฑ์จากสัตว์เป็นตัวการสำคัญของโรคเรื้อรังที่ระบาดอยู่ทั่ว ณ ขณะนี้

ดังนั้น แพทย์ทั้งหลายจึงแนะนำให้รับประทานอาหารจากพืชทั้งส่วนและหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการแปรรูปขั้นสูงและผลิตภัณฑ์จากสัตว์รวมทั้งเนื้อสัตว์ นม ผลิตภัณฑ์จากนมและไข่ต่างๆ

เนื้อสัตว์เป็นสิ่งที่ไม่ดี

นี่คือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายกล่าวถึงเนื้อสัตว์:

นมและไข่ไม่ใช่อาหารของพวกเรา

การศึกษา พบว่าการรับประทานอาหารประเภทนมเนยมีความสัมพันธ์กับอาการติดเชื้อที่หู ภูมิแพ้ อาการท้องผูก สิว ไขมันในเส้นเลือด คอเลสเตอรอลสูง เนื้อเยื่อต่างๆแข็งตัว โรคเบาหวานชนิดที่ 1 โรคมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งรังไข่ และหากคุณคิดว่านั่นยังแย่ไม่พอ ลองฟังนี่ดู

ไข่สามารถทำให้เส้นเลือดแดงแตกได้ เป็นแหล่งคอเลสเตอรอลอันดับ 1 โดยไข่ทำให้เกิดผลึกคอเลสเตอรอลซึ่งสามารถทำให้ผนังหลอดเลือดแตกได้ ไข่เต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลาและสารเคมีต่างๆที่เป็นอันตรายซึ่งก่อให้เกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง

ข้อมูลอ้างอิง:

การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่ความสุขที่ได้เห็นผลการตรวจแสดงขึ้นสองขีด ความสุขที่สังเกตเห็นลูกน้อยในท้องเป็นครั้งแรกไปจนถึงการได้อุ้มเจ้าตัวเล็กของคุณไว้ในอ้อมแขน และนี่คือการเดินทางสู่การตั้งครรภ์!

การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกดีใจ และเสียใจไปจนถึงประสบการณ์ทางร่างกายที่เจ็บปวด คุณต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ทั้งหมดที่จะร่วมเดินทางไปกับคุณ

หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยที่สุดที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องพบเจอในระหว่างการเดินทางตั้งครรภ์ คือ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ คุณจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่ามีข้อจำกัดบางอย่างสำหรับการเพิ่มน้ำหนักที่เหมาะสมในระหว่างการตั้งครรภ์

น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาของคุณถือว่าไม่ดีต่อสุขภาพ และส่วนใหญ่มักทำให้กระดูก กล้ามเนื้อ และข้อต่อของคุณทำงานหนัก นอกจากนี้ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นยังดึงดูดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อคุณ และสุขภาพของทารก

วิธีควบคุมน้ำหนักในระหว่างตั้งครรภ์? จะควบคุมน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ได้อย่างไร? นี่เป็นคำถามที่มาจากคุณ ปัญหาดังกล่าวสามารถจัดการได้ด้วยอาหาร และโภชนาการที่เหมาะสม การบริโภคอาหารอย่างสมดุลควบคู่ไปกับแนวทางปฏิบัติในการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และยั่งยืนจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการเพิ่มน้ำหนักที่ไม่พึงประสงค์ได้

ก่อนที่เราจะช่วยคุณตัดสินใจว่าจะรับประทานอะไร และไม่รับประทานอะไรบ้าง ขอให้เราตรวจสอบสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังของการทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น

รู้จักกับน้ำหนักของคุณ

คุณน่าจะเดาได้ว่าตัวเลขที่สูงในระดับนั้นไม่ใช่แค่ไขมันเท่านั้น น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของคุณล้วนเกี่ยวข้องกับทารก มันเกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างที่ปกป้อง และหล่อเลี้ยงทารก และนี่คือรายละเอียด

โดยรวมแล้วคุณจะมีน้ำหนักประมาณ 16 กิโลกรัมในระหว่างตั้งครรภ์ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตามตัวเลขนี้มักจะดีต่อสุขภาพ และไม่ใช่สาเหตุที่จะต้องกังวล ดังนั้น จงเข้มแข็งและเปล่งประกายที่ยอดเยี่ยมของคุณอยู่ตลอดเวลา!

ภาวะแทรกซ้อนมากมาย

ต่อไปนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากน้ำหนักเกิน

แล้วตอนนี้คุณก็ได้รู้เท่าทันภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพต่าง ๆ ที่ทำให้น้ำหนักขึ้นมากเกินไปแล้ว เรามาดูเคล็ดลับ และกลเม็ดบางอย่างที่คุณสามารถใช้เพื่อควบคุมน้ำหนักของคุณได้!

ผัก และผลไม้ - คู่หูที่อุดมไปด้วยสารอาหาร

รู้สึกอยากรับประทานของกินเล่นระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่? ให้หลีกเลี่ยงมันฝรั่งทอด และขนมไปได้เลย! คุณควรรับประทานผัก และผลไม้อร่อย ๆ ตลอดการตั้งครรภ์เพื่อควบคุมน้ำหนักของคุณ! ผลไม้ และผักเป็นอาหารที่ดีในการรับวิตามินที่จำเป็นเข้าสู่ร่างกาย มีแคลอรีต่ำ และอุดมด้วยสารอาหารรอง

นอกจากนี้ การได้รับสารอาหารเหล่านี้อย่างเพียงพอยังจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต และการพัฒนาลูกน้อยของคุณ! ดังนั้นหยุดเอื้อมมือหยิบมันฝรั่งทอดถุงนั้น แล้วหันมากินเบบี้แครอทแทนซะ!

รับประทานเนื้อไม่ติดมันเพื่อควบคุมน้ำหนักระหว่างการตั้งครรภ์!

เราไม่สามารถเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริโภคโปรตีนสูงในระหว่างตั้งครรภ์ได้อย่างเพียงพอ! การบริโภคโปรตีนให้เพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์มีความสำคัญต่อพัฒนาการที่เหมาะสมของลูกน้อย การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการบริโภคอาหารที่มีโปรตีนเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์ทำให้การเจริญเติบโต น้ำหนักแรกเกิด และความสูงของทารกดีขึ้น

แต่แหล่งโปรตีนทุกอย่างใช่ว่าจะดีต่อสุขภาพสำหรับการควบคุมน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ หากคุณมีความเชื่อว่าเนื้อแดง หรือเนื้อแปรรูปซึ่งเป็นอาหารที่คุณโปรดปรามีโปรตีน คุณก็มีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักเกิน และภาวะแทรกซ้อนที่มาพร้อมกับมัน! ลองรับประทานเนื้อไม่ติดมัน เช่น ไก่ หรือปลาเพื่อควบคุมน้ำหนักระหว่างการตั้งครรภ์!

ผูกมิตรกับเส้นใยอาหาร

คุณรู้หรือไม่? การวิจัยแสดงให้เห็นว่าเกือบหนึ่งในสามของผู้หญิงต้องทนทุกข์ทรมานจากการกินมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์ การยัดอาหารเข้ากระเพาะตัวเองอย่างต่อเนื่องในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสูตรสำหรับการเพิ่มน้ำหนักในระหว่างตั้งครรภ์!

ลองบริโภคอาหารที่ทำให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วในปริมาณน้อย อย่างเช่น อาหารที่มีเส้นใยอาหาร เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารที่อุดมด้วยเส้นใยอาหารจะมีค่าดัชนีความอิ่มสูง และมีประโยชน์ต่อสตรีมีครรภ์ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการบริโภคเส้นในอาหารสูงทำให้สุขภาพของหัวใจดีขึ้น ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และป้องกันอาการท้องผูกในสตรีมีครรภ์ได้

แยกคาร์โบไฮเดรตของคุณออกเป็นสองส่วน

หลีกเลี่ยงการรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว! คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวถูกพบในน้ำอัดลม เค้ก และลูกอมส่วนใหญ่มีน้ำตาล และถูกย่อยอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างกะทันหัน และทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ ยังมีดัชนีความอิ่มต่ำซึ่งหมายความว่าให้ความรู้สึกอิ่มได้เพียงช่วงระะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น สิ่งนี้ทำให้คุณเสี่ยงต่อการรับประทานอาหารกินเล่น และการดื่มสุราบ่อย ๆ ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากเกินไป

ลองเปลี่ยนมารับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่พบในขนมปังโฮลเกรน ข้าวกล้อง หรือควินัว คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น และมอบเส้นใยอาหาร และพลังงานที่จำเป็นเพื่อให้คุณมีพลังงานได้ตลอดทั้งวัน

ดับไฟด้วยน้ำ!

การเพิ่มน้ำหนักขณะตั้งครรภ์เป็นปัญหาที่ลุกลามเหมือนกับไฟป่า สามารถดับไฟที่ลุกลามได้ด้วยโภชนาการ และอาหารที่เหมาะสม สิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่ง และเป็นสิ่งที่สร้างความสมดุลซึ่งถูกละเลยไป คือ น้ำ

การไม่ดื่มน้ำในหนึ่งวันทำให้คุณเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักเพิ่ม การวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่ไม่ดื่มน้ำมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนเกือบ 2 เท่า ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วเพื่อการตั้งครรภ์ที่แข็งแรง และมีความสุขมากขึ้น!

ไขมันต่ำเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง!

ผลิตภัณฑ์นมเป็นส่วนสำคัญสำหรับสตรีมีครรภ์ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสตรีมีครรภ์ควรบริโภคผลิตภัณฑ์นมอย่างน้อย 4 แก้วในแต่ละวัน ทำไมน่ะเหรอ? ผลิตภัณฑ์นมเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี และเป็นโปรไบโอติกที่ช่วยในการพัฒนาที่เหมาะสมของทารก และบำรุงสุขภาพของคุณแม่

ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยไขมันทั้งที่ดีต่อสุขภาพ และไม่ดีต่อสุขภาพ การบริโภคอาหารที่ทำจากนมสูง คุณยังเสี่ยงต่อการเพิ่มน้ำหนักที่ไม่ต้องการอีกด้วย ลองบริโภคอาหารอื่นที่มีไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน การเปลี่ยนไปใช้นมพร่องมันเนยสามารถลดปริมาณแคลอรี่ และไขมันของคุณได้อย่างมากซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเพิ่มน้ำหนัก

อ่านเพิ่มเติม: การออกกำลังกายที่เบา ๆ และปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์

ลดการใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร

น้ำมันปรุงอาหารที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการปรุงอาหารอาจส่งผลต่อน้ำหนักของคุณในระหว่างตั้งครรภ์ การมีไขมันอิ่มตัว และแคลอรีสูง การใช้น้ำมันปริมาณมากขณะปรุงอาหารจะทำให้คุณเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักเพิ่ม

นอกเหนือจากนี้ อาหารมัน ๆ สามารถเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ซึ่งส่งผลให้คุณเป็นโรคหัวใจ และโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เป็นการดีที่สุดที่จะจำกัดการใช้น้ำมันในระหว่างการปรุงอาหาร และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารมัน และทอดเพื่อการตั้งครรภ์ที่ดีขึ้น และแข็งแรงขึ้น!

ทำลายวงจรด้วยจุลธาตุ

โรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่นั้นเป็นของคู่กัน และก่อตัวขึ้นเป็นวงจรอุบาทว์ น้ำหนักส่วนเกินที่คุณกำลังแบกรับอยู่ทำให้คุณมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์สูงขึ้น นอกจากนี้ หากคุณเป็นโรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ คุณก็มีความเสี่ยงที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้คุณเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ วัฏจักรของภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นจากเหตุผลนี้!

ข่าวดีก็คือคุณสามารถทำลายวงจรนี้ได้ด้วยการบริโภคจุลธาตุต่าง ๆ เช่น ไอโอดีน ซีลีเนียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก และสังกะสีในปริมาณที่สูงขึ้น ลองรับประทานถั่ว เช่น อัลมอนด์ และวอลนัทให้มากขึ้นซึ่งเป็นแหล่งแคลเซียม แมกนีเซียม และสังกะสีที่ดี นอกจากนี้ ลองรับประทานปลาที่ปรุงสุก ซึ่งเป็นอาหารที่มีโปรตีนซึ่งเป็นแหล่งไอโอดีนที่ดีมากถึงสองเท่า

แนวทางปฏิบัติด้านอาหารที่ปลอดภัยที่คุณต้องลอง

นอกจากการรับประทานอาหารที่อร่อย และสมดุลแล้ว การมีนิสัยการกินที่ดี และยั่งยืนยังช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นในขณะตั้งครรภ์ได้อีกด้วย ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับ และคำแนะนำในการรับประทานอาหารที่ปลอดภัย และยั่งยืนในระหว่างตั้งครรภ์!

1. คอยติดตามสิ่งที่คุณรับประทาน:

การนับแคลอรี่เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการควบคุมอาหารของคุณ การรับประทานมากเกินปริมาณที่กำหนดจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ นี่คือจำนวนแคลอรี่ที่หญิงตั้งครรภ์ต้องการโดยขึ้นอยู่กับระยะของการตั้งครรภ์

2. หลีกเลี่ยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขณะรับประทานอาหาร

คุณมีพฤติกรรมในการรับประทานอาหารขณะชมรายการโปรดของคุณหรือไม่? หากใช่ คุณควรเลิกนิสัยนี้ซะ การดูทีวี หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ขณะรับประทานอาหารทำให้คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังบริโภคอาหารอะไร ซึ่งอาจส่งผลให้คุณรับประทานมากเกินไป และทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

3. รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ

5-6 มื้อต่อวันดีกว่าการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ 3 มื้อ การรับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ สามารถช่วยคุณได้อย่างไร? มื้ออาหารที่น้อยลง และบ่อยขึ้น หมายถึง ระบบย่อยอาหารของคุณทำงานน้อยลง ช่วยทำให้การย่อย และการดูดซึมสารอาหารทั้งหมดจากอาหารได้อย่างเหมาะสม คุณจะรู้สึกอิ่มมากขึ้น และลดความอยากอาหารลงได้

4. เลือกว่าจะรับประทานอะไร

พยายามหลีกเลี่ยงการออกไปทานอาหารนอกบ้านให้ได้มากที่สุดเพราะจะทำให้คุณไม่สามารถควบคุมคุณค่าทางโภชนาการของอาหารได้ ในกรณีที่คุณต้องรับประทานอาหารนอกบ้าน โปรดสอบถามพนักงานเกี่ยวกับส่วนผสม และคุณค่าทางโภชนาการของอาหารเพื่อทำการตัดสินใจอย่างรอบคอบเกี่ยวกับการสั่งอาหารของคุณ

5. สร้างความสมดุล

คือ กุญแจสู่การตั้งครรภ์ที่มีความสุขด้วยการรับประทาน อาหารที่สมดุล ความสมดุลที่เหมาะสมระหว่างสารอาหารในอาหารของคุณจะช่วยให้คุณตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นอย่าลืมปรึกษานักโภชนาการที่จะช่วยคุณวางแผนมื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพเพื่อให้คุณมีการตั้งครรภ์ที่แข็งแรงขึ้น!

สรุป

ไม่มีวิธีอื่นในการหลีกเลี่ยง หากคุณต้องเพิ่มน้ำหนักในระหว่างตั้งครรภ์ แต่ว่าตอนนี้คุณได้ทราบวิธีจัดการกับน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ดังที่ได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า การมีน้ำหนักเพิ่มมากกว่าน้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับการตั้งครรภ์มีผลเสียต่อสุขภาพของคุณ รวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีของทารกด้วย.

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ แพ้ท้อง ภาวะแทรกซ้อนในการคลอด - คุณลองยกตัวอย่างขึ้นมาสิ ตัวเลขที่สูงกว่าปกติบนเครื่องชั่งน้ำหนักของคุณจะทำให้คุณเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ นอกจากนี้ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ยังทำให้ลูกน้อยของคุณมีความเสี่ยงอีกด้วย

โรคอ้วนในเด็ก ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเบาหวาน และความผิดปกติของระบบเมตาบอลิซึม คือความเสี่ยงบางอย่างที่อาจส่งผลต่ออนาคตของลูกคุณ เป็นการดีที่สุดที่จะระมัดระวังเรื่องอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียดังกล่าว

การรับประทานอาหารที่มีอาหารแคลอรีต่ำแต่อุดมไปด้วยสารอาหารช่วยป้องกันการเพิ่มน้ำหนักของการตั้งครรภ์ได้ในระยะยาว การวางแผนการบริโภคคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และสารอาหารรองอย่างรอบคอบ และสร้างความสมดุลระหว่างสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้มีรูปร่างที่ดีต่อสุขภาพในระหว่างตั้งครรภ์

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าอาหารทั้งหมดที่กล่าวถึงในบล็อกนี้จะใช้ได้ผลดีที่สุดเมื่อบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ การบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่มากขึ้นอาจส่งผลให้เกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์ได้ การจัดการกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์สามารถทำได้ แต่การรักษาวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง

โปรดจำไว้ว่าแต่ละคนแตกต่างกัน และมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน แพทย์ประจำครอบครัว หรือนักโภชนาการสามารถแนะนำคุณได้ดีที่สุดเพื่อให้ตรงกับความต้องการของคุณ ปรึกษาแพทย์ประจำครอบครัวของคุณวันนี้เพื่อค้นหาแผนโภชนาการที่เหมาะกับคุณที่สุด

อ่านต่อในอาหาร และอาหารเพื่อสุขภาพ ของเราเพื่อรับข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงในระหว่างตั้งครรภ์เพิ่มเติม

ลูกคนโตของคุณเป็นเด็กวัยหัดเดินหรือเปล่า? และคุณตั้งครรภ์พร้อมกันหรือไม่? ฟังดูแล้วน่าตื่นเต้นจังเลย แต่ก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แต่คุณสามารถใช้วิธีรับมือได้หลายวิธี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่คุณจะต้องทราบเคล็ดลับในการจัดการกับการตั้งครรภ์ในขณะที่มีลูกวัยหัดเดิน

การเตรียมคลอดลูกคนที่ 2

การตั้งครรภ์ในตัวเองอาจเป็นเรื่องยาก ร่างกายของคุณผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายทุกวัน แม้จะนอนหลับได้เต็มอิ่ม คุณก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียได้ สำหรับผู้หญิงหลายคน การตั้งครรภ์สามารถบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า และความเจ็บป่วยได้มากมาย เมื่อมีลูกในวัยหัดเดินก็ทำให้การตั้งครรภ์มีอุปสรรคมากขึ้น

ทารกอีกคนในครอบครัวของคุณดูเหมือนของขวัญที่สวยงาม แต่ลองเดาดูสิว่ามีอะไรแถมมาให้คุณบ้าง?
รู้สึกเหนื่อยกับการทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เสร็จใช่ไหม มีงานต้องทำ มีเด็กที่รู้สึกหิวกลางดึก และเกิดอาการนอนไม่หลับในขณะตั้งครรภ์

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์เมื่อลูกคนโตของคุณยังเป็นเด็กหัดเดิน แต่ไม่ต้องกังวลไป เรามีเคล็ดลับให้กับคุณ หลังจากอ่านเคล็ดลับของการตั้งครรภ์ในขณะที่มีลูกวัยหัดเดินนี้แล้ว คุณจะสามารถเป็น 'คุณแม่คนเก่ง' สำหรับลูกวัยเตาะแตะของคุณในขณะตั้งครรภ์ได้

อ่านเพิ่มเติม:การตั้งครรภ์นอกมดลูก: มันคืออะไร และทำอะไรได้บ้าง

การตั้งครรภ์ 2.0: สิ่งที่คุณควรทราบก่อนการตั้งครรภ์

มีบางอย่างที่คุณต้องจดจำไว้ก่อนที่จะตั้งครรภ์ลูกคนต่อไป ระยะห่างระหว่างการตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญที่คู่รักของคุณ และคุณต้องพูดคุยกัน การตั้งครรภ์ภายในหกเดือนหลังจากคลอดไม่ใช่ความคิดที่ดีที่สุด เนื่องจากเกี่ยวข้องกับ ปัญหาต่าง ๆ เช่น การคลอดก่อนกำหนด ความผิดปกติแต่กำเนิด ปัญหาของรก เช่น การคลอดก่อนกำหนด และภาวะโลหิตจางของคุณแม่

การวิจัยชี้ให้เห็นว่าเวลาที่เหมาะระหว่างการตั้งครรภ์สองครั้งคือประมาณ 18 ถึง 24 เดือนหลังคลอด แต่การเว้นระยะห่างน้อยกว่า 5 ปี จะดีกว่า อาจเป็นเพราะเมื่อกาลเวลาผ่านไป การทำงานทางสรีรวิทยาของร่างกายในการตั้งครรภ์อาจลดลง

รวมถึง เมื่อคุณอายุมากขึ้น โอกาสในการตั้งครรภ์ของคุณอาจน้อยลงโดยเฉพาะเมื่อมีอายุเกิน 35 ปี โปรดระลึกไว้เสมอว่าต้องรออย่างน้อย 12 เดือนก่อนที่จะลองตั้งครรภ์อีกครั้ง

ซึ่งหมายความว่าการตัดสินใจมีลูกคนที่สองในขณะที่ลูกคนแรกยังเป็นเด็กหัดเดินน่าจะเป็นความคิดที่ดี แม้ว่าตอนนี้อาจจะฟังดูน่ากลัวก็ตาม นอกจากนี้ ลูกทั้งสองของคุณจะมีอายุที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น และนั่นอาจหมายถึงมิตรภาพที่ดีระหว่างพวกเขาทั้งสองคน!

เคล็ดลับในการเอาตัวรอดระหว่างการตั้งครรภ์ในขณะที่มีลูกในวัยหัดเดิน

ตอนนี้คุณกำลังเดินอยู่บนเส้นทางนี้แล้ว เราต้องการช่วยให้คุณทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีที่สุด การจัดการเด็กวัยหัดเดินในขณะที่กำลังตั้งครรภ์ครั้งที่สองจะเป็นเรื่องยาก

อย่างไรก็ตาม คุณเคยผ่านการตั้งครรภ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นคุณจึงค่อนข้างพร้อมสำหรับการเป็นคุณแม่อยู่แล้ว

ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับในการจัดการกับการตั้งครรภ์ในขณะที่มีลูกวัยหัดเดิน:

1. ทำตัวให้ผ่อนคลาย ทำทุกอย่างให้ช้าลง!

คุณจะสังเกตเห็นว่าผู้คนมักแนะนำให้คุณสงบสติอารมณ์ และทำตัวให้ผ่อนคลาย เหตุผลสำหรับการควบคุม

สภาวะทางอารมณ์ของคุณคือมันมีผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ที่ดีของทารก ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณที่จะทำตัวให้ผ่อนคลาย หากความคิดของคุณฟุ้งซ่านไปด้วยความคิดด้านลบ ให้นั่งลง และหายใจเข้าลึก ๆ วิธีสงบสติอารมณ์ที่ดีคือการฝึกสมาธิ มันช่วยให้คุณคลายความเครียด และความวิตกกังวลได้

คุณอาจจะสามารถเลือกที่จะไปเดินเล่นในสวนสาธารณะก็ได้ การออกกำลังกายสามารถช่วยบรรเทาความเครียดลงได้บางส่วน นอกจากนี้ การใช้เวลาในกลางแจ้งยังสามารถช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย และรวบรวมความคิดต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้ คุณสามารถปล่อยให้เจ้าตัวเล็กวิ่งเล่น หรือลองเล่นอะไรใหม่ ๆ ในสนามเด็กเล่นได้ตลอดเวลาซึ่งจะทำให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกเหนื่อยล้าสำหรับเวลาเข้านอน วิธีนี้ทำให้คุณสามารถใช้เวลาคุณภาพร่วมกับลูกวัยเตาะแตะได้

2. การวางแผนงานต่าง ๆ

เราทราบดีว่าแผนงานต่าง ๆ อาจไม่ได้เป็นไปตามแผนเสมอไป แต่การไม่วางแผน "กิจวัตรประจำวันระหว่างการตั้งครรภ์" ของคุณอาจเป็นความเสี่ยงได้

คุณมีเวลาประมาณ 35 สัปดาห์นับจากเวลาที่คุณพบว่าตั้งครรภ์เพื่อกำหนดเวลาให้กับงานทุกอย่าง จัดทำ 'กระดานสำหรับการตั้งครรภ์' หรือ 'สมุดบันทึกสำหรับการตั้งครรภ์' ของคุณเอง จดบันทึกการเดินทางไปโรงพยาบาล การนัดหมายแพทย์ และกิจกรรมประจำวันของคุณ การวางแผนจะช่วยทำให้ประสาทของคุณสงบลง และทำให้คุณสามารถควบคุมการตัดสินใจของคุณได้

3. ขอความช่วยเหลือ

คุณเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ยอดมนุษย์ คุณไม่สามารถทำทุกอย่างด้วยตัวเองแม้ว่าคุณจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม คุณคงไม่อยากรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา คุณจะต้องได้รับความช่วยเหลือสำหรับบางเรื่อง ขอให้คู่รักของคุณ คุณพ่อ คุณแม่ของคุณเอง คุณพ่อ คุณแม่ของคู่รักของคุณ เพื่อน หรือเพื่อนบ้านของคุณซึ่งใครก็ตามที่คุณไว้วางใจให้ดูแลลูกของคุณในระหว่างที่คุณทำงานบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการกับลูกวัยเตาะแตะของคุณ วิธีนี้จะช่วยให้คุณมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ทำงานส่วนตัวให้เสร็จ หรือแม้แต่ไปโรงพยาบาล

4. งีบหลับ

การงีบหลับช่วยให้สิ่งต่าง ๆ ช้าลงเล็กน้อย วิธีหนึ่งที่จะทำได้คือการงีบหลับเมื่อลูกน้อยวัยหัดเดินของคุณกำลังงีบหลับ วิธีนี้ช่วยทำให้คุณนอนหลับระหว่างวันได้เช่นกัน แม้จะเป็นเวลาเพียงสั้น ๆ ก็ตาม ในระหว่างตั้งครรภ์ การงีบหลับสั้น ๆ อาจส่งผลดีต่อสุขภาพของคุณ และลูกน้อยในครรภ์ของคุณได้ การงีบหลับช่วยเพิ่มพลังที่จำเป็น ลดระดับความเครียด และให้พลังงานในการจัดการกับลูกวัยเตาะแตะของคุณได้

การศึกษาในประเทศจีนชี้ให้เห็นว่าแม่ตั้งครรภ์ที่งีบหลับเป็นประจำอาจลดความเสี่ยงของทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดต่ำได้ ผู้หญิงที่งีบหลับประมาณ 1 ชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง มีโอกาสที่จะมีลูกที่น้ำหนักแรกเกิดต่ำน้อยกว่า 29% สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการงีบหลับเป็นสัญญาณว่าทำไมจึงมีการให้ความสำคัญกับการงีบหลับซึ่งเป็นส่วนสำคัญของสุขภาพการตั้งครรภ์โดยรวมของคุณ

5. ทำให้เด็กหัดเดินยุ่งอยู่ตลอดเวลา

เด็กวัยหัดเดินรู้สึกไม่เหนื่อย พวกเขาเต็มไปด้วยพลังงาน และพวกเขาคาดหวังให้คุณมีส่วนร่วม แต่ต้องยอมรับความจริงว่า แม้แต่ในวันปกติก็ยากที่จะมีส่วนร่วมกับพวกเขา และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในขณะที่คุณกำลังตั้งครรภ์ ดังนั้น คุณต้องหาวิธีที่มีประสิทธิผลเพื่อทำให้พวกเขายุ่งอยู่ตลอดเวลา

พยายามสร้างเกมที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย หรือฝึกสมาธิให้กับพวกเขา เช่น การต่อตัวต่อ หรือปริศนาจิ๊กซอว์ แม้ว่าคุณต้องการลดเวลาหน้าจอให้กับพวกเขา คุณก็สามารถกระตุ้นให้พวกเขาดูรายการ หรือเล่นเกมเป็นระยะ ๆ ได้ คุณสามารถใช้เวลานี้เพื่อพักผ่อน หรือทำงานให้เสร็จได้

การเตรียมลูกของคุณให้กับน้องคนใหม่

เราเข้าใจดีว่าการมีลูกคนหนึ่งคนนั้นยากพออยู่แล้ว และเมื่อเพิ่มเข้ามาอีก 1 คน มันก็นำมาซึ่งความโกลาหลขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง คุณจะต้องเพิ่มจำนวนผ้าอ้อม การงีบหลับ และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ความรัก

แม้จะฟังดูน่าตื่นเต้นกับการมีลูกคนใหม่ ลูกวัยเตาะแตะของคุณอาจไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่ากับคุณ ลูกคนหัวปีอาจค่อนข้างสับสน และไม่แน่ใจว่าชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร

มีสิ่งหนึ่งที่คุณไม่ควรมองข้ามที่นอกเหนือไปจากการพยายามทำอะไรหลาย ๆ อย่างในระหว่างการตั้งครรภ์ คือ
การเตรียมลูกน้อยของคุณให้พร้อมสำหรับการมาถึงของลูกน้อยคนใหม่ของคุณ ให้เร็วที่สุด การช่วยให้ลูกของคุณเตรียมตัวสำหรับน้องใหม่ และชีวิตใหม่ในฐานะพี่น้องคนโตควรอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายการตรวจสอบการตั้งครรภ์ของคุณ

และเหมือนกับที่หลายคนพูดกันว่า ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ การเตรียมลูกคนหัวปีของคุณให้พร้อมสำหรับน้องคนใหม่จะเป็นบททดสอบความอดทนของคุณ เกินความสามารถมากไปหรือไม่? คุณไว้ใจเราได้ และอีกครั้ง

นี่คือเคล็ดลับของเราเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงนี้ราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงใหม่จะมาถึง

อ่านเพิ่มเติม: ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ และวิธีจัดการ

1. ข่าวด่วน

บอกให้ลูกของคุณรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของคุณ แต่อย่าบอกให้รู้เร็วเกินไป ช่วยให้พวกเขาเข้าใจ และคุ้นเคยกับแนวคิดเรื่องลูกคนใหม่ในครอบครัว ทำให้พวกเขาสบายใจด้วยการแสดงภาพทารกให้พวกเขาเห็น โปรดทราบว่าเด็กวัยหัดเดินต้องใช้เวลาในการปรับตัว การทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเขารับมือกับการตั้งครรภ์ของคุณได้ เด็กวัยหัดเดินของคุณต้องต้อนรับการตั้งครรภ์ของคุณด้วยความสุข และความตื่นเต้น

2. พูดคุยกับพวกเขา

คุณต้องจำไว้ว่าการตั้งครรภ์อาจทำให้เด็กวัยหัดเดินเกิดความสับสน และทำให้พวกเขาแสดงออกมา

การร่วมมือกันเป็นสิ่งที่สำคัญ ให้เด็กวัยหัดเดินมีส่วนร่วม ชี้ให้เห็นบทบาทของพวกเขาในฐานะพี่ที่มีอายุมากกว่า และทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นกับการมีน้องใหม่

นี่คือเคล็ดลับ: ปล่อยให้เด็กวัยหัดเดินพูดคุยกับทารก คอยเฝ้าดูลูกคนโตของคุณ ให้พูดคุยกับน้องในท้องของคุณ ให้พวกเขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารก และกอดน้อง คุณยังสามารถเชิญพวกเขาให้ร้องเพลง หรือลูบท้อง วิธีนี้จะช่วยสร้างสายสัมพันธ์พิเศษระหว่างพวกเขาได้

เชื่อเราเถอะเมื่อว่า มันคุ้มค่ากับความเหนื่อยเมื่อกาลเวลาผ่านไป

สิ่งสำคัญคือคุณต้องค่อย ๆ พูดคุยกับพวกเขา และพูดถึงแต่สิ่งดี ๆ อย่าลงรายละเอียดมากเกินไปเพราะจะทำให้พวกเขารู้สึกสับสนมากขึ้น สมมติว่าคุณรู้สึกไม่สบาย เพียงบอกพวกเขาว่าคุณรู้สึกไม่สบาย

วิธีหนึ่งที่จะอธิบายความเหนื่อยล้าของคุณคือการพูดว่า "เลี้ยงลูกต้องทำงานหนักมาก บางครั้งแม่รู้สึกเหนื่อยเมื่อลูกกำลังเติบโตอยู่ข้างในท้อง ด้วยเหมือนกัน"

3. ทำให้พวกเขาเข้าใจ

เด็กวัยหัดเดินของคุณจะไม่รู้ว่าการมีน้องคนใหม่เป็นอย่างไร

สนุกไปกับการดูภาพของลูกวัยหัดเดินด้วยกัน แสดงรูปถ่ายของคุณตอนที่คุณตั้งท้องให้พวกเขาดู เรื่องราวความรักของเด็กวัยหัดเดิน บอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาว่าพวกเขาเป็นอย่างไรเมื่อยังเป็นทารก รวมถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของพวกเขา และคุณรู้สึกตื่นเต้นแค่ไหนเมื่อพวกเขาเกิดมา ภาพถ่าย และเรื่องราวจะช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าทารกแรกเกิดมีลักษณะอย่างไร และทารกเติบโตอย่างไร

ในตอนแรก ลูกวัยเตาะแตะของคุณอาจไม่ชอบให้คุณอยู่ใกล้ทารกคนอื่น ๆ ดังนั้น การไปพบเพื่อน ๆ และครอบครัวที่มีเด็กแรกเกิดจึงเป็นประโยชน์เพื่อให้ลูกวัยหัดเดินรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ทารกคนอื่น ๆ

การอยู่ใกล้ทารกคนอื่น ๆ เป็นสิ่งสำคัญเพราะจะทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไร และจะพัฒนาวิธีการโต้ตอบกับพวกเขา

4. ให้พวกเขามีส่วนร่วม

เด็กวัยสองขวบเข้าใจอะไรหลายอย่างมากกว่าที่คุณคิด การมีส่วนร่วมของพวกเขาในกระบวนการเตรียมตัวอาจเป็นขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพมาก ชวนพวกเขาไปทำงานที่เกี่ยวข้องกับการมาถึงของน้องใหม่ เช่น "เราควรซื้อของเล่นอะไรดี" การทำให้เธอรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวให้พวกเขามีความรับผิดชอบซึ่งอาจส่งผลให้พวกเขามีไอเดียใหม่ ๆ ที่อาจช่วยคุณได้

ให้คุณคิดบวกตลอด และปล่อยให้ลูกของคุณมีส่วนร่วมตราบเท่าที่พวกเขาต้องการ ปล่อยให้พวกเขาเล่นกับสิ่งของต่าง ๆ ของทารกขณะที่คุณดึงของออกจากที่เก็บ หรือเมื่อของขวัญมาถึง

ยิ่งพวกเขามีส่วนร่วมในชีวิตของน้องใหม่มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้นที่จะได้ก้าวเข้าสู่บทบาทของพี่คนโต อย่าลืมอธิบายว่าคุณจะต้องให้ความสนใจกับลูกน้อยมากแค่ไหน สิ่งนี้จะช่วยเด็กวัยหัดเดินรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อน้องใหม่คลอดออกมา

5. การตรวจสอบชีวิตประจำวัน

การมีลูกสองคนจะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของคุณ และทำให้สิ่งต่าง ๆ วุ่นวายมากขึ้น แต่คุณควรพยายามทำตามกิจวัตรของเด็กวัยหัดเดินให้ดีที่สุด การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับคุณแต่ละคนจะช่วยให้คุณ และคู่รักของคุณบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ลูกวัยเตาะแตะจะปรับตัวเข้ากับชีวิตของน้องใหม่ได้ง่ายขึ้นหากพวกเขายังคงทำกิจวัตรเช้า กลางวัน เย็น เวลาอาบน้ำ และเวลาเข้านอนเหมือนเดิม

6. ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ

ยืนยันความสำคัญของพวกเขาที่มีในชีวิตของทารกโดยมอบหมายความรับผิดชอบที่เหมาะสมกับวัยของพวกเขา

มันจะทำให้พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการหากคุณขอให้พวกเขาช่วยคุณ

คุณต้องเตือนลูกคนโตของคุณอยู่เสมอว่าพ่อแม่รักพวกเขามากกว่าเมื่อก่อน และการเพิ่มลูกคนใหม่จะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น คุณสามารถทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยได้ด้วยการอธิบายว่าคุณเป็นครอบครัวเดียวกันที่มีความสุข

สรุป

นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับทั้งคุณ และลูกน้อยของคุณ คุณเพียงแค่ต้องแน่ใจว่าคุณมีเวลาให้ตัวเองอย่างเพียงพอเพื่อการพักผ่อน และดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหาร และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ในเวลาเดียวกัน ลูกน้อยของคุณไม่ควรรู้สึกถูกทอดทิ้ง เรามั่นใจว่าคำแนะนำเหล่านี้ในการจัดการการตั้งครรภ์กับเด็กวัยหัดเดินจะช่วยให้คุณมีครรภ์ที่แข็งแรง และมีช่วงเวลาที่สนุกสนานกับเด็กวัยหัดเดินของคุณ!

ให้พวกเขามีส่วนร่วมในกระบวนการ ทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับแนวคิดของการมีน้องใหม่ และทำให้มั่นใจว่าการมีน้องใหม่ไม่ได้ทำให้ความหมายของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป อย่าทำให้พวกเขารู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง หรือมีความสำคัญน้อยลง สุดท้าย ให้ช่วยพวกเขาปรับตัวกับบทบาทใหม่ในฐานะพี่ใหญ่ หรือพี่คนโต ขั้นตอนที่คุณทำในวันนี้สามารถช่วยคุณสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับครอบครัวของคุณในวันพรุ่งนี้