ความเครียด กับความวิตกกังวล: แตกต่างกันหรือไม่?
ประเด็นที่สำคัญ
- อาการเครียด เช่น อาการเศร้า เหนื่อยล้า ภูมิคุ้มกันต่ำ กัดฟัน ผมร่วง และมีความรู้สึกหนักใจ
- อาการวิตกกังวล เช่น ปัสสาวะบ่อย กังวลใจ กลัวอย่างไร้เหตุผล และรู้สึกตื่นตัวมากเกินไป
- ความเครียด และความวิตกกังวลมีอาการบางอย่างที่เหมือนกัน เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ท้องเสีย และท้องผูก
- การมีความเครียดเป็นเวลานานสามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล เหนื่อยหน่าย เช่นเดียวกับปัญหาหัวใจ แผลในกระเพาะอาหาร และโรคแพ้ภูมิตัวเอง
- หากมีความวิตกกังวลเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรควิตกกังวลได้
- ความเครียด และความวิตกกังวลสามารถจัดการได้ด้วยเทคนิคการจัดการต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ การออกกำลังกาย และการบำบัด รวมไปถึง การขอคำปรึกษาจากแพทย์
คุณเคยวิ่งอย่างเร็วมากเพื่อขึ้นรถเมล์ไปทำงานให้ทันเวลา แล้วรู้สึกว่าหัวใจของคุณเต้นเร็วผิดปกติหรือไม่?
คุณเคยตกงาน และรู้สึกว่าคุณเกิดความกลัวจนกว่าคุณจะหางานใหม่ได้หรือไม่?
หากคำตอบสำหรับคำถามทั้งสองข้อนี้ของคุณ คือ 'ใช่' แน่นอนว่าคุณสามารถรับรู้ความรู้สึกที่มาพร้อมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
คุณจะบอกว่าคุณรู้สึกเครียด หรือคุณจะบอกว่าคุณรู้สึกกระวนกระวายใจในขณะที่กำลังวิ่งขึ้นรถเมล์ให้ทัน หรือจนกว่าจะได้งานใหม่ใช่ไหม?
แล้วความเครียด กับความวิตกกังวลมีความแตกต่างกันหรือไม่ หรือว่าความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้เหมือนกัน?
ถ้าอย่างนั้น เรามาสำรวจความแตกต่างกัน
ความเครียด กับความวิตกกังวล: เหรียญสองด้านเหมือนกันหรือไม่?
ความเครียด กับความวิตกกังวล มีความเกี่ยวข้องกันที่มีความน่าสนใจ
- ร่างกายตอบสนองกับภาวะทั้งสองอย่างนี้ตามธรรมชาติเพื่อป้องกันอันตราย
- ร่างกายตอบสนองกับภาวะทั้งสองอย่างนี้ตามธรรมชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาต่อสู้ หรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสมองรู้สึกว่ามีอันตราย
- ภาวะทั้งสองนี้มีอาการบ่งบอกได้หลายอย่างที่มีความคล้ายกัน
และความเครียด กับความวิตกกังวลยังมีความใกล้เคียงกันอีกด้วย
ความแตกต่างระหว่างความเครียด กับความวิตกกังวล
สาเหตุ:
ความเครียดอาจส่งผลดีหรือไม่ดีก็ได้
ความเครียดที่ดี (เครียดดี) เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การพยายามทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลา หรือการย้ายไปยังประเทศอื่น ความเครียดที่ไม่ดี (ความกังวล) เกิดจากปัจจัยที่มาก่อกวนจิตใจเพิ่มมากขึ้น เช่น การสูญเสียสมาชิกในครอบครัว หรือการเผชิญกับการถูกทำร้าย
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ความเครียดจะมี 'ตัวสร้างความเครียด' เสมอ นั่นคือปัจจัยที่กระตุ้นให้ร่างกาย และจิตใจรู้สึกเครียด
ในทางกลับกัน ความวิตกกังวลอาจไม่มีตัวกระตุ้นที่สามารถระบุสาเหตุได้
แหล่งกำเนิด:
ความเครียดส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอก (ตัวกระตุ้น/ตัวสร้างความเครียด) และถูกกำหนดให้เป็นความตึงเครียดทางร่างกาย หรือจิตใจที่รู้สึกได้จากการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นนั้น
ความวิตกกังวลเกิดจากความกลัวภายในจิตใจที่พัฒนาขึ้นมาจากตัวสร้างความเครียด ความวิตกกังวล คือ การตอบสนองที่ร่างกาย และจิตใจมอบให้กับความไม่แน่นอน และความสงสัยที่เรารู้สึกเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง
ความไม่แน่นอน หรือความสงสัยนี้สามารถถูกกระตุ้นขึ้นได้แม้ว่าจะไม่มีตัวกระตุ้นก็ตาม พันธุกรรม บุคลิกภาพ และเคมีในสมองยังอาจนำไปสู่ความวิตกกังวลในตัวบุคคลได้โดยไม่มีเหตุผลที่แน่นอน
ระยะเวลา:
หากได้รับการแก้ไขในเวลาที่เหมาะสม และไม่ปล่อยให้กลายเป็นภาวะเรื้อรัง ความเครียดมักจะหายไปเองได้ในระยะสั้น ๆ หลังจากที่ตัวสร้างความเครียด (ปัญหา) ได้รับการแก้ไขแล้ว
ความวิตกกังวลสามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานาน แม้ว่าตัวกระตุ้น (ปัญหา) จะได้รับการแก้ไขแล้วก็ตาม มันสามารถเกิดขึ้น และกลายเป็นความผิดปกติได้
ความรู้สึก:
ความเครียดทำให้คนรู้สึกหนักใจ เหนื่อย หรือไม่สนใจที่จะทำอะไร
ความวิตกกังวลจะเพิ่มความรู้สึกกลัว และหวาดกลัวซึ่งจะทำให้บุคคลไม่สามารถลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ได้
ผลกระทบ:
ผลกระทบทางกายภาพของความเครียด ได้แก่ ปวดหัว ผมร่วง (ศีรษะล้าน) ปวดกล้ามเนื้อ ปวดท้อง และปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ
ผลกระทบทางจิตใจของความเครียด ได้แก่ นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า รู้สึกโกรธโดยไม่มีเหตุผล เศร้าใจ และขาดสมาธิ
หากปล่อยไว้นาน ความเครียดสามารถ ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าวิตกกังวล หรือหมดไฟได้ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างผลกระทบต่อร่างกายได้ซึ่งทำให้ร่างกายทรุดโทรม เช่น แผลในกระเพาะอาหาร โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง โรคหลอดเลือดสมอง และหัวใจวาย
สำหรับความวิตกกังวล หากปล่อยให้ยังคงมีอยู่ หรือหากไม่ตอบสนองต่อเทคนิคการจัดการกับความวิตกกังวล ความวิตกกังวล ภาวะเหล่านี้จะสามารถเปลี่ยนไปเป็นความผิดปกติได้ เช่น โรควิตกกังวลทั่วไป โรควิตกกังวลทางสังคม โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง (PTSD) โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ) โรคตื่นตระหนก และโรคกลัวบางสิ่งบางอย่าง (กลัวมากเกินไป และไม่มีเหตุผล)
ความผิดปกติทางจิตใจเป็นหนึ่งในผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของความวิตกกังวลต่อเนื่องเป็นเวลานาน
อาการเครียด และวิตกกังวล
แม้ว่าทั้งความเครียด กับความวิตกกังวลจะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนแต่ก็มีการแสดงอาการที่เหมือนกันบางอย่าง แต่ อาการ.
อาการเครียด ประกอบไปด้วย:
- รู้สึกประหม่า
- รู้สึกเหนื่อย
- คลื่นไส้
- ความฉุนเฉียว ความโกรธที่ระเบิดออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ท้องเกร็ง
- หนักใจ
- กัดฟันกราม
- ความเป็นกรด กรดไหลย้อน
- ปวดเมื่อยตามข้อโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีปัญหาในการนอนหลับ
- รับประทานอาหารมากเกินไป
- การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับ
- ปัญหาในการย่อยอาหาร
- เกิดสิว
- ผมร่วง
- ภูมิต้านทานต่ำทำให้ติดเชื้อ และเจ็บป่วยเร็วขึ้น
- มีอารมณ์ทางเพศน้อย
อาการวิตกกังวล ประกอบไปด้วย:
- ความรู้สึกกลัว หรือหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง
- รู้สึกกระสับกระส่าย
- รู้สึกตึงเครียด
- เหงื่อออกมาก
- หัวใจเต้นเร็ว
- หายใจเร็ว
- สั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ
- ความกังวลใจ
- ตื่นตัวมากเกินไป
- ปัสสาวะบ่อย
ความเครียด และความวิตกกังวลยังมีอาการบางอย่างที่เหมือนกัน เช่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว และท้องเสีย หรือท้องผูกโดยไม่ทราบสาเหตุ
หากบุคคลเริ่มแสดงอาการของการใช้สารเสพติด การใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิด การทำร้ายตนเอง และความคิดฆ่าตัวตาย สิ่งเหล่านี้ควรได้รับความสนใจ และการแทรกแซงจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาทันที
เคล็ดลับในการจัดการกับความเครียด และความวิตกกังวล
ความเครียด และความวิตกกังวลสามารถแก้ไขได้ดีขึ้นเมื่อได้รับการจัดการ และ/หรือการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ สิ่งที่สำคัญ คือ อย่าปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้เปลี่ยนจากอาการเล็กน้อยไปเป็นภาวะที่รุนแรง
เมื่อความเครียด หรือวิตกกังวลรุนแรงขึ้น คุณจะต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหายาวนานขึ้น และทำให้เกิดการพัฒนาไปเป็นปัญหาสุขภาพอื่น ๆ และแพทย์จำเป็นต้องเข้ามาทำการแทรกแซง
เราขอแนะนำให้ไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหากรู้สึกว่ามีความจำเป็น และก็ยังมีวิธีอื่น ๆ ในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ในขณะที่ยังมีอาการไม่รุนแรง สิ่งเหล่านี้เรียกว่ากลไกการเผชิญปัญหา
กลไกการเผชิญปัญหาที่เป็นประโยชน์ในการจัดการกับความเครียด และความวิตกกังวล
รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโภชนาการ:
- กิน อาหารที่มี ผักสด ผลไม้ ถั่ว ไฟเบอร์ ธัญพืช และโปรตีน
- อาหารเหล่านี้ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันหลัก และปกป้องร่างกายจากความเจ็บป่วย และการติดเชื้อเมื่อภูมิคุ้มกันของเราต่ำเนื่องจากความเครียด
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารขยะที่เต็มไปด้วยไขมันเลว อาหารที่มีน้ำตาลสูง และแอลกอฮอล์ พวกมันทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเพิ่มไขมันในร่างกายจึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต และเบาหวาน
เคลื่อนไหวร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กลางแจ้ง:
- ฝึกเดินเร็ว จ็อกกิ้ง ปั่นจักรยาน หรือวิ่งให้เป็นนิสัย โดยควรออกกำลังกายกลางแจ้ง ท่ามกลางธรรมชาติ แทนที่จะวิ่งบนลู่วิ่ง
- การออกกำลังกายช่วยในการคลายกล้ามเนื้อ ลดไขมันในร่างกาย และเพิ่มภูมิคุ้มกัน
- การอยู่กลางแจ้งช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจน และปล่อยฮอร์โมนแห่งความสุขที่เอาชนะความเครียดได้
ฝึกฝนเทคนิคการผ่อนคลาย:
- การฝึกหายใจ โยคะ ไทชิ การแสดงภาพเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยม และคุ้มค่าในการปลดปล่อยความเครียด และความวิตกกังวลได้
- ช่วยลดฮอร์โมนความเครียด ชะลออัตราการเต้นของหัวใจ ลดความดันโลหิต ลดความโกรธ และความหงุดหงิด ปรับปรุงการย่อยอาหาร ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และอาการปวดเรื้อรัง
- เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ขอแนะนำให้เรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลายจากผู้เชี่ยวชาญ และฝึกฝนเป็นประจำ
ฝึกสมาธิและ MBSR:
- การทำสมาธิ และการลดความเครียดโดยใช้สติ (MBSR) แสดงผลเชิงบวกที่ยอดเยี่ยมในการลดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
- การทำสมาธิช่วยให้ จิตใจ และร่างกายผ่อนคลาย ด้วยการจดจ่ออยู่กับลมหายใจ และรับรู้ร่างกายในปัจจุบัน
- MBSR ช่วยให้ผู้คนตระหนักว่าความคิดเชิงลบส่งผลต่อร่างกาย และจิตใจอย่างไรซึ่งสามารถช่วยลดความเครียด ะเพิ่มสมาธิ ความจำ และความยืดหยุ่น
เลือกจากวิธีการบำบัดที่หลากหลาย:
- ขณะนี้มีการบำบัดที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ให้เลือกมากมายเพื่อ ลดความเครียด และความวิตกกังวลตัวอย่างเช่น น้ำมันที่ใช้ในอโรมาเธอราพี ส่งผลต่อส่วนอารมณ์ ของสมอง
- การเต้นรำบำบัด ช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยให้สามารถแสดงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่โดยไม่ต้องใช้คำพูด ส่งเสริมสุขภาพกาย และจิตใจโดยรวม
- การหัวเราะบำบัดช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิต เพิ่มการรับออกซิเจน และฮอร์โมนแห่งความสุขซึ่งก็คือสารเอ็นดอร์ฟิน
- การบำบัดด้วยสัตว์ (สัตว์เลี้ยง) ช่วยเพิ่มฮอร์โมนแห่งความสุขในเชิงบวก เช่น โดปามีน ออกซิโทซิน และเซโรโทนิน และลดฮอร์โมนความเครียดที่เรียกว่าคอร์ติซอล จึงช่วยให้บุคคลรู้สึกเครียด หรือวิตกกังวลน้อยลง รู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข และเป็นอิสระมากขึ้น
เลือกใช้การบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา (CBT):
- การฝึกการบำบัดด้วยความคิดและพฤติกรรม (CBT) ได้รับการพิสูจน์แล้วและได้ผลดี วิธีลดความเครียด และความวิตกกังวล
- วิธีนี้ใช้หลักการในการช่วยให้บุคคลเข้าใจว่าความคิดส่งผลต่อพฤติกรรม/อารมณ์อย่างไร ความคิดเชิงลบสร้างปัญหาต่อสุขภาพจิตอย่างไร และการทบทวนความคิดสามารถช่วยจัดการกับความเครียด และความวิตกกังวลในรูปแบบที่มีประสิทธิผลได้อย่างไร
ขอความช่วยเหลือจากแพทย์:
- หากความเครียด หรือความวิตกกังวลยังคงมีอยู่ได้แม้ว่าจะฝึกฝนเทคนิคต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วก็ตาม ทางที่ดีควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์
- จิตแพทย์ และที่ปรึกษามีความพร้อมที่ดีกว่าในการทำความเข้าใจต้นตอของปัญหา และกำหนดแนวทางปฏิบัติ หรือยาที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหา
สรุป
ความเครียด และความวิตกกังวลเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่มีผลข้างเคียงต่อบุคคลทางร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรมหลายอย่าง
ภาวะเหล่านี้จะรุนแรงมากขึ้นหากปล่อยให้มีภาวะรุนแรง ดังนั้น การแทรกแซงอย่างทันท่วงที และการเอาใจใส่อย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการป้องกันไม่ให้ปัญหาเติบโตต่อไปจากระยะที่ไม่รุนแรง
แม้ว่าจะมีเทคนิคการจัดการอยู่หลายทางเลือกที่เราสามารถนำไปปฏิบัติได้ แต่ภาวะเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องน่าละอายที่คุณจะทำการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหากรู้สึกว่ามีความจำเป็น สุขภาพร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ เราจะไปพบแพทย์หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น สุขภาพจิตก็มีความสำคัญไม่แพ้กันกับร่างกายเพื่อให้มีชีวิตที่มีความสุข และมีความสมดุล
ดังนั้น ควรทำความรู้จักกับตัวการก่อให้เกิดความเครียด ฝึกฝนเทคนิคการจัดการความเครียด/ความวิตกกังวล เปิดเผยเกี่ยวกับปัญหาของคุณแทนที่จะปิดบัง และไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตหากมีความจำเป็น
ท้ายที่สุดแล้ว จิตใจที่ปราศจากความเครียด และความวิตกกังวล คือ กุญแจสู่ชีวิตที่มีความสุข